เอเอฟพี – คณะกรรมาธิการเฉพาะกิจของสภาล่างที่สอบสวนกรณีม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อต้นปีที่แล้ว แนะนำให้ตั้งข้อหาทรัมป์ทำผิดกฎหมายหลายกระทง ซึ่งรวมถึงการก่อความไม่สงบ เพิ่มความเสี่ยงที่ทรัมป์อาจถูกสอบสวนคดีอาญาซึ่งนอกจากปิดทางลงเลือกตั้งสมัยที่สองแล้ว อดีตประธานาธิบดีอเมริกาผู้นี้อาจต้องเข้าไปนอนในคุกด้วย
เมื่อวันจันทร์ (20 ธ.ค.) คณะกรรมาธิการเฉพาะกิจของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เรียกร้องให้ดำเนินการฟ้องร้องอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมถึงตั้งข้อหาขัดขวางการดำเนินการของทางการและสมรู้ร่วมคิดฉ้อโกงประเทศ ภายหลังการสอบสวนกรณีม็อบบุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 ที่ใช้เวลานานถึง 18 เดือน
มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 คนหลังฝูงชนที่ถูกปลุกปั่นจากการกล่าวอ้างที่ไม่เป็นความจริงของทรัมป์ว่า ตนเองถูกปล้นชัยชนะในการเลือกตั้ง และถูกอดีตประธานาธิบดีผู้นี้สั่งให้เคลื่อนขบวนไปที่อาคารรัฐสภา จู่โจมเข้าสู่แคปิตอลเพื่อขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจให้โจ ไบเดน ที่ชนะการเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี
คณะกรรมาธิการฯ ที่ประกอบด้วยสมาชิกทั้งเดโมแครตและรีพับลิกัน ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ส่งหลักฐานและข้อกล่าวหานี้ต่อกระทรวงยุติธรรม หลังจาก ลิซ เชนีย์ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ แถลงเริ่มกระบวนการ โดยกล่าวหาว่าทรัมป์ละทิ้งการปฏิบัติหน้าที่อย่างชัดเจนจากการไม่พยายามหยุดยั้งการจลาจล และสำทับว่า ทรัมป์ขาดคุณสมบัติสำหรับตำแหน่งประธานาธิบดี
ความเคลื่อนไหวนี้มีนัยสำคัญเชิงสัญลักษณ์เป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากคณะกรรมาธิการเฉพาะกิจไม่มีอำนาจควบคุมการตัดสินใจตั้งข้อหาซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงยุติธรรม
แจ็ค สมิธ อัยการพิเศษอิสระที่ได้รับแต่งตั้งจากเมอร์ริก การ์แลนด์ รัฐมนตรียุติธรรม เป็นผู้นำการสอบสวนทรัมป์ในกรณีเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2020
ทางด้านทรัมป์ออกแถลงการณ์อ้างว่า วัตถุประสงค์ในการสอบสวนคือต้องการกีดกันไม่ให้ตนลงเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัยเพราะรู้ว่า ตนจะชนะ ทั้งนี้ คะแนนนิยมของทรัมป์ติดลบ 20% จากค่าเฉลี่ยของรีลเคลียร์โพลิติกส์ เทียบกับไบเดนที่ติดลบ 8%
ถึงกระนั้น ความเคลื่อนไหวของคณะกรรมาธิการสภาล่างครั้งนี้ถือว่า มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากที่ผ่านมาคองเกรสไม่เคยเสนอให้ดำเนินการฟ้องร้องคดีอาญากับประธานาธิบดีในตำแหน่งหรืออดีตประธานาธิบดี
นอกจากนี้ยังส่งผลร้ายแรงต่อทรัมป์ที่ช่วงหลายสัปดาห์มานี้เดินเกมผิดพลาดมากมายนับจากที่ประกาศลงสมัครชิงทำเนียบขาวอีกครั้ง ในจำนวนนี้รวมถึงการที่รีพับลิกันมีผลงานย่ำแย่ในการเลือกตั้งกลางเทอมในรัฐที่ทรัมป์ให้การสนับสนุนผู้สมัคร
การตั้งข้อหาจะส่งผลให้ทรัมป์ วัย 76 ปี ที่ยังมีอิทธิพลอย่างมากในพรรครีพับลิกัน ไม่สามารถรับตำแหน่งทางการเมืองได้ และยังอาจต้องรับโทษจำคุก
เบนนี่ ธอมป์สัน ประธานคณะกรรมาธิการฯ กล่าวว่า การลงคะแนนเลือกตั้งในอเมริกาเป็นการกระทำด้วยศรัทธาและความหวัง และศรัทธาคือรากฐานของประชาธิปไตยของอเมริกา ดังนั้น หากศรัทธาถูกทำลาย ประชาธิปไตยก็จะย่อยยับไปด้วย และทิ้งท้ายว่า ทรัมป์ได้ทำลายศรัทธานั้นไปแล้ว
สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ ที่ประกอบด้วยเดโมแครต 7 คน และรีพับลิกัน 2 คน ได้รวบรวมข้อมูลที่ค้นพบและแบ่งออกเป็นรายงาน 8 บทซึ่งมีกำหนดเผยแพร่ในวันพุธ (21 ธ.ค.)
ข้อกล่าวหาของคณะกรรมาธิการฯ คือ ทรัมป์ควบคุมและประสานงานแผนการ 7 ส่วนเพื่อล้มล้างการเลือกตั้งประธานาธิบดีและขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจ
เจ้าหน้าที่สอบสวนระบุว่า แผนการดังกล่าวเริ่มต้นด้วยการที่ทีมหาเสียงของทรัมป์ล่อยข่าวทั้งที่รู้ว่าไม่เป็นความจริงว่า การเลือกตั้งเต็มไปด้วยการโกง
ทรัมป์ยังถูกกล่าวหาว่า พยายามโน้มน้าวกระทรวงยุติธรรมและกดดันไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีในขณะนั้น รวมถึงเจ้าหน้าที่เลือกตั้งและสมาชิกรัฐสภาในรัฐต่างๆ ให้ล้มล้างผลการเลือกตั้ง
อดีตประมุขทำเนียบขาวผู้นี้ยังถูกกล่าวหาว่า ระดมผู้สนับสนุนเพื่อก่อม็อบในวอชิงตันและสั่งการให้เคลื่อนขบวนไปยังแคปิตอลแม้รู้ว่า บางคนมีปืนไรเฟิลโจมตี ปืนสั้น และอาวุธอื่นๆ อีกมากมาย ทรัมป์ยังเพิกเฉยต่อการร้องขอของทีมงานให้หยุดการก่อความรุนแรงนานหลายชั่วโมง
โซ ลอฟเกรน สมาชิกคณะกรรมาธิการฯ จากเดโมแครต กล่าวว่า ข้อกล่าวอ้างเรื่องการโกงเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทรัมป์ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ความไม่ไว้วางใจในประชาธิปไตยก่อนที่จะเริ่มก่อความไม่สงบ
ลอฟเกรนยังตอกย้ำข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ว่าพันธมิตรของทรัมป์เกี่ยวข้องกับการทำลายหลักฐาน เช่น เสนอจ้างงานพยานที่ต้องไปให้การ โดยยกตัวอย่างพยานคนหนึ่งที่เผยว่า ได้รับแจ้งจากทนายที่เกี่ยวข้องกับทรัมป์ให้ให้การว่า จำข้อเท็จจริงไม่ได้