กระทรวงกลาโหมจีนออกมาปฏิเสธรายงานที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าในโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของจีน โดยชี้ว่าอเมริกากำลัง “คาดเดา” และ “ออกท่าทาง” (gesticulate) ไปเองอย่างไม่เป็นธรรมกับจีน
เพนตากอนได้ออกรายงานเมื่อเดือน พ.ย. ว่า จีนจะมีหัวรบนิวเคลียร์มากถึง 1,500 หัวรบภายในปี 2035 หากยังคงเดินหน้ายกระดับคลังแสงนิวเคลียร์ด้วยอัตราเร็วเท่าที่เป็นอยู่
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความกังวลของสหรัฐฯ ที่มีต่อเจตนาของจีนในการขยายคลังแสงนิวเคลียร์ ถึงแม้ว่าคาดการณ์ดังกล่าวจะไม่ได้บ่งชี้ว่าจีนเร่งรัดการพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ก็ตามที
ล่าสุด กระทรวงกลาโหมจีนได้ออกมาตอบโต้ข้อมูลดังกล่าว โดยชี้ว่าสหรัฐฯ “ออกท่าทาง (gesticulating) และคาดเดาไปเองเกี่ยวกับการปรับปรุงกองกำลังนิวเคลียร์จีนสู่ความทันสมัย” พร้อมทั้งเตือนให้สหรัฐฯ กลับไปทบทวนนโยบายนิวเคลียร์ของตัวเองจะดีกว่า เนื่องจากอเมริกาเองต่างหากที่มีคลังแสงนิวเคลียร์ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก
กระทรวงกลาโหมจีนยังชี้ว่า ทุกวันนี้สหรัฐฯ เองก็ “ตั้งหน้าตั้งตา” พัฒนาและประจำการขีปนาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี ลดขีดจำกัดในการประจำการขีปนาวุธนิวเคลียร์ และแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์ผ่านการเป็นหุ้นส่วนด้านความมั่นคงกับอังกฤษกับออสเตรเลีย
“เราขอย้ำว่า จีนเน้นยุทธศาสตร์นิวเคลียร์เพื่อการป้องกันตนเองเป็นหลัก และเรายึดมั่นนโยบายที่จะไม่เป็นผู้ใช้อาวุธนิวเคลียร์รายแรกเสมอ ไม่ว่าจะในเวลาหรือสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม อีกทั้งยังคงกองกำลังนิวเคลียร์ไว้ในระดับต่ำสุดเท่าที่จำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศ” กระทรวงกลาโหมจีนระบุ
สถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในคลังแสงประมาณ 3,700 หัวรบ และในจำนวนนี้เป็นหัวรบที่ถูกส่งเข้าประจำการราว 1,740 หัวรบ
กระทรวงกลาโหมจีนระบุทิ้งท้ายว่า หากมองในแง่ความมั่นคงของโลกแล้ว สหรัฐอเมริกาคือ “ผู้ก่อปัญหารายใหญ่ที่สุด”
“สหรัฐฯ พยายามกระพือความขัดแย้งต่างๆ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ยุยงให้เกิดการแตกแยกและเผชิญหน้าขึ้นในโลก และยังนำเอาความวุ่นวายและหายนะไปยังทุกๆ ที่ที่พวกเขาไป”
ที่มา : รอยเตอร์