ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย เตือนว่าเหตุการณ์ใดๆ ที่คล้ายกับเหตุขีปนาวุธพุ่งใส่โปแลนด์ เข่นฆ่าชีวิตชาวบ้าน 2 ราย เสี่ยงโหมกระพือความขัดแย้งครั้งใหญ่ระดับโลก หรือสงครามโลกครั้งที่ 3 ความเห็นที่สอดคล้องกับผู้แทนมอสโกประจำสหประชาชาติ ที่เชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความพยายามยั่วยุให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซียกับนาโต้ ที่ก่อผลกระทบไปทั่วโลก
เมดเวเดฟ ซึ่งเวลานี้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติของรัสเซีย เขียนบนทวิตเตอร์เมื่อวันพุธ (16 พ.ย.) ว่า "เหตุการณ์นี้พิสูจน์ได้เพียงหนึ่งอย่าง คือมันเป็นการทำสงครามลูกผสม (hybrid war) กับรัสเซีย ตะวันตกขยับเข้าใกล้สงครามโลก"
ถ้อยคำของ เมดเวเดฟ สอดคล้องกับความเห็นของ ดมิทรี โพลยานสกี รองผู้แทนของรัสเซียประจำสหประชาชาติ ซึ่งระบุว่า "มีความพยายามอย่างที่สุดที่จะโหมกระพือการเผชิญหน้าทางทหารระหว่างนาโต้กับรัสเซีย ซึ่งทั้งหมดจะก่อผลกระทบตามมาแก่ทั่วโลก"
ในการโพสต์ข้อความลงบนเทเลแกรม โพลยานสกี ระบุว่า มีข้อพิรุธหลายอย่าง ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เลื่อนการประชุมมาเป็นวันพุธนี้ (16 พ.ย.) โดยไม่ให้ได้เหตุผลใดๆ และประจวบเหมาะเหลือเกินที่คำกล่าวอ้าง "การโจมตีด้วยขีปนาวุธ" ใส่โปแลนด์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีการประชุมพอดี
โพลยานสกี เขียนบนเทเลแกรมต่อว่า อีกบ่อเกิดแห่งความน่าสงสัยคือ คำกล่าวหาและข้อเรียกร้องให้ลงโทษรัสเซียครั้งนี้มาจากรัฐบาลยูเครน ภายใต้การสนับสนุนของโปแลนด์ ซึ่งคลุ้มคลั่งอยู่ก่อนแล้วจากอาการโรคเกลียดกลัวรัสเซีย
ด้วยข้อเท็จจริงทั้งหมดบ่งชี้ว่ารัสเซียไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โพลยานสกี ชี้ว่ามันจึงเป็นเรื่องน่าสนใจที่สหรัฐฯ และพันธมิตรจดำเนินการอย่างไรในความพยายามปลีกตัวเองออกจากคำครหา ระหว่างการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่กำลังมาถึง
"ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่า พันธมิตรตะวันตกของเราจะยอมรับว่ายูเครนและโปแลนด์ มีบทบาทในการยั่วยุที่เป็นอันตรายครั้งนี้" เขากล่าว
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน รุดออกมากล่าวโทษรัสเซียในทันที สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นวันอังคาร (15 พ.ค.) พร้อมเรียกร้องนาโต้ ซึ่งมีโปแลนด์เป็นชาติสมาชิก จัดการกับเหตุโจมตีความมั่นคงร่วมดังกล่าว และแม้ไม่มีหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนคำกล่าวอ้าง แต่มันถูกนำไปตีข่าวอย่างกว้างขวางในสื่อมวลชนโปแลนด์ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่บางส่วน
วอร์ซอ ยังได้สั่งกองทัพยกระดับเฝ้าระวังขั้นสูง และบอกว่ากำลังหารือสำหรับใช้มาตรา 4 ของสนธิสัญญานาโต้ ซึ่งกำหนดให้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับรัฐสมาชิกอีก 29 ชาติที่เหลือ หากดินแดนหรือความมั่นคงกำลังถูกคุกคาม และตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเข้าร่วมการประชุมซัมมิตกลุ่ม จี20 ที่เกาะบาหลี ในอินโดนีเซียว่า ขีปนาวุธนี้อาจไม่ได้ยิงมาจากรัสเซีย
สำนักข่าวเอพีรายงานอ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 3 คน ระบุเช่นกันว่า ข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าแท้จริงแล้วขีปนาวุธเป็นของยูเครน โดยเป็นการยิงออกมาจากระบบป้องกันภัยทางอากาศของประเทศ ท่ามกลางการโจมตีขนานใหญ่ของรัสเซีย ที่เล็งเป้าเล่นงานโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน
(อาร์ทีนิวส์)