เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - เลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ กำลังจะมีขึ้นวันพรุ่งนี้ (8 พ.ย.) โพลต่างๆ ล่าสุดชี้ว่า ประชาชนอเมริกันรู้สึกวิตกมากก่อนการเลือกตั้งหลังภายในประเทศเกิดความรุนแรงเพิ่มขึ้นและมีความหวาดกลัวเพิ่มในประเทศเห็นสหรัฐฯ ถึงจุดต่ำสุด อีลอน มัสก์ ประกาศก่อนหน้า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัดล์ ทรัมป์ จะไม่ได้กลับทวิตเตอร์ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอม ขณะที่โพลสำนักต่างๆ ชี้ สเตซี เอแบรมส์ ผู้หญิงผิวสีมีชื่อเสียงจากการไม่ยอมแพ้ในการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐปี 2018 มีคะแนนตามคู่แข่งผู้ว่าการรัฐคนปัจจุบัน ไบรอัน เคมป์ ในศึกเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐจอร์เจียพรุ่งนี้
NBC News สื่อสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (6 พ.ย.) ว่า สำหรับผู้มีสิทธิออกเสียงอเมริกันจำนวนมากที่มองว่าคลื่นความรุนแรงและความหวาดกลัวที่มีมากขึ้นภายในประเทศที่ต่างรู้สึกว่าสหรัฐฯ กำลังเข้าใกล้หายนะเข้าไปทุกที
ทั้งนี้ มีตั้งแต่กลุ่มชายติดอาวุธสวมหน้ากากปิดหน้าพร้อมอาวุธเชิงยุทธวิธีปรากฏตัวที่จุดหย่อนบัตรเลือกตั้งสหรัฐฯ แห่งหนึ่ง ผู้สมัครจากทั้ง 2 พรรคถูกทำร้ายร่างกาย สามีประธานสภาสหรัฐฯ โดนบุกบ้านตอนเช้ามืดเข้าไปทำร้าย ภัยคุกคามสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ สูงขึ้น 10 เท่า และเจ้าหน้าที่เลือกตั้งโดนข่มขู่
พรรคเดโมแครตวิตกว่าพรรครีพับลิกันจะมุ่งมั่นที่จะยึดอำนาจโดยไม่สนถึงผลการเลือกตั้งที่จะออกมา เป็นความวิตกที่มีรากฐานมาจากอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ พรรครีพับลิกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ประกาศครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเป็นเท็จว่า การเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2020 มีการโกง
ผลโพลศูนย์วิจัยพิว (Pew Research Center) แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนมากของพรรครีพับลิกันกลัวว่า “ประชาธิปไตยสหรัฐฯ” กำลังตกอยู่ในอันตรายเพราะพวกเขาเชื่อว่า การเลือกตั้งที่ถูกโกงนั้นเป็นผลร้ายต่อพวกเขา
อดีตรัฐฟลอริดา ส.ส เดวิด โจลลี (David Jolly) จากพรรครีพับลิกันแสดงความเห็นว่า “คำประกาศปฏิเสธการเลือกตั้งปี 2020 คือการที่พวกที่ปฏิเสธไม่เชื่อว่าการใช้สิทธิออกเสียงของพวกเขาเป็นหนทางแก้ปัญหา
การออกมาอ้างผิดๆ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้มีคนภายในพรรคส่วนหนึ่งเชื่อ โดยเฉพาะผู้สนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดที่เป็นอันตราย โจลลี กล่าว และแสดงความเห็นต่อว่า “คุณไม่สามารถเรียกคืนประชาธิปไตยด้วยการไปคูหาเลือกตั้งวันที่ 8 พ.ย. คุณในความเป็นจริงต้องใช้กำลังหรือการข่มขู่”
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า อีลอน มัสก์ เคยออกมาชี้เป็นนัยก่อนหน้าว่า ทรัมป์ซึ่งถูกสั่งแบนบนทวิตเตอร์หลังเกิดเหตุการก่อกบฏสหรัฐฯ บุกรัฐสภาคองเกรสวันที่ 6 ม.ค นั้นจะไม่ได้กลับคืนสู่แพลตฟอร์มก่อนวันเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันอังคาร (8) ทั้งนี้ มีรายงานเป็นภาพถ่ายปรากฏ อีลอน มัสก์ เคยพบกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาวระหว่างที่ทรัมป์กำลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
NBC News รายงานว่าโพลสำรวจความเห็นสำนักต่างๆ ยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า ประชาชนอเมริกันจากทั้ง 2 พรรคใหญ่และฝ่ายอิสระต่างวิตกเกี่ยวกับความเป็นประเทศอเมริกาและชีวิตพวกเขา ในนั้น 2 ใน 3 ของจำนวนผู้แบบสอบถามแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ มาถึงจุดต่ำสุดเท่าที่เคยมีมา และมากกว่า 1 ใน 4 รายงานถึงปัญหาความเครียด อ้างอิงจากโพลสมาพันธ์นักจิตวิทยาอเมริกัน APA (American Psychological Association)
โพล APA ชี้ว่า มากว่า 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่า อนาคตสหรัฐฯ เป็นต้นตอสำคัญสำหรับความเครียดของคนเหล่านี้
นอกจากนี้ NBC News รายงานว่า ชาวสหรัฐฯ ที่ถือประชาธิปไตยเป็นเหมือนรากฐานชีวิตมีความวิตกด้วยความกลัวว่าประชาธิปไตยสหรัฐฯ จะไม่รับใช้พวกเขาอีกต่อไป ส่งผลทำให้มีบางส่วนของจำนวนนี้หันไปหาความรุนแรง
รัฐจอร์เจียซึ่งถือเป็นหนึ่งจุดร้อนในการเลือกตั้งกลางเทอมเที่ยวนี้ ซึ่งรัฐจอร์เจียเป็นรัฐที่มีการบังคับใช้แสดงบัตรประจำตัวเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งต่างจากรัฐอื่นเป็นต้นว่า รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ไม่จำเป็นต้องแสดงบัตรประจำตัว
สเตซี เอแบรมส์ (Stacey Abrams) ผู้สมัครผิวสีพรรคเดโมแครตซึ่งแพ้อย่างเชือดเฉือนเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐจอร์เจียรอบที่แล้วเมื่อปี 2018 ที่ 50.2% ต่อ 48.8% ออกมาชี้ว่า กฎหมายกำหนดการแสดงบัตรประจำตัวเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งถือเป็นการกดขี่การออกเสียงของชนกลุ่มน้อย เป็นต้นว่า แอฟริกันอเมริกัน ซึ่งเป็นระบบที่ออกมาโดยคู่แข่งผิวขาวคนปัจจุบัน ผู้ว่าการรัฐจอร์เจีย ไบรอัน เคมป์ (Brian Kemp)
NPR รายงานว่า การที่เคมป์ปฏิรูปกฎหมายเลือกตั้งรัฐจอร์เจียใหม่ทั้งหมดโดยเขาลงนามเพื่อบังคับใช้เมื่อราวต้นปีที่แล้วเกิดขึ้นหลังจากรัฐจอร์เจียกลายเป็นศูนย์กลางการต่อสู้สำคัญระหว่าง 2 พรรคในการเลือกตั้งใหญ่สหรัฐฯ ปี 2020 โดยพรรคเดโมแครตประสบความสำเร็จพลิกทำให้รัฐจอร์เจียกลายเป็นสีน้ำเงิน และทำให้เดโมแครตสามารถคุมเสียงข้างมากได้ทั้งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และวุฒิสภาสหรัฐฯ สำเร็จ
เดโมแครตเรียกกฎหมายบัตรประจำตัวรัฐจอร์เจียว่าเป็นกฎหมายจิม โครว์ 2.0 (Jim Crow 2.0) ซึ่งกฎหมายจิม โครว์ เป็นกฎหมายกีดกันแอฟริกันอเมริกันให้แยกออกจากอเมริกันผิวขาว ถูกใช้ในรัฐทางใต้หลังจากฝ่ายคอนเฟดเดอเรชัน หรือรัฐทางใต้แพ้สงครามกลางเมืองที่เกิดระหว่างปี 1861-1865 ให้ฝ่ายยูเนียน หรือรัฐทางเหนือ กฎหมายจิม โครว์ ถูกใช้ระหว่างปี 1877-1950
อ้างอิงจากนิวสวีกรายงานเมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา ชี้ไปว่า โพลกลุ่มวิจัยเรมิงตัน(Remington Research Group) ซึ่งสำรวจระหว่างวันที่ 1-2 พ.ย. แสดงให้เห็นว่าเคมป์มีคะแนนขึ้นนำ 55% ขณะที่เอแบรมส์มีคะแนนตามหลังที่ 41% ขณะที่มีอีก 3% ของผู้ร่วมตอบแบบสอบถามกล่าวว่า ยังไม่ตัดสินใจ
เอแบรมส์นั้นหาเสียงนโยบายสิทธิการยุติการตั้งครรภ์ การขยายโครงการประกันสุขภาพเมดิเคด (Medicaid) ซึ่งในการดีเบตทางจอโทรทัศน์ล่าสุดนั้นพบว่า เอแบรมส์ได้กล่าวโทษเคมป์ต่อปัญหาเงินเฟ้อและอัตราอาชญากรรมเพิ่ม
นิวสวีกรายงานว่า ไบรอัน เคมป์กลางเวทีประกาศจุดยืนปกป้องกฎหมายอาวุธปืนรัฐจอร์เจีย ซึ่งในปีที่ผ่านมาเมืองแอตแลนตา มือปืนบุกยิงสปาเอเชีย ส่งผลทำให้มีหญิงชาวเอเชียเสียชีวิตไป 6 คน
จำนวนผู้มีสิทธิให้การสนับสนุนเคมป์มากขึ้น 10 จุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา อ้างอิงจากโพลมหาวิทยาลัยมอนมัธ (Monmouth University) และโพลสำนักอื่นๆ ยังให้คะแนนเคมป์นำเอแบรมส์ ซึ่งถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเอแบรมส์และพรรคเดโมแครต
อ้างอิงจากสื่อ fivethirtyeight รายงานเมื่อวันที่ 31 ต.ค ชี้ว่า เอแบรมส์กลายเป็นผู้สมัครอันเดอร์ด็อกในการเลือกตั้งเที่ยวนี้มากกว่าเมื่อปี 2018 เสียอีก เธอกลายเป็นที่จับตาไปทั่วหลังจากเธอสามารถเรียกเสียงโหวตจากผู้มีสิทธิผิวสีรัฐจอร์เจียในการเลือกตั้งปี 2020 ส่งผลทำให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง และพรรคเดโมแครตสามารถคุมทั้ง 2 สภาสำเร็จ
ชื่อเสียงจากการไม่ยอมแพ้ของเธอเมื่อปี 2018 ทำให้เป็นที่จับตาในเวลานั้นว่า ไบเดนอาจเลือกเธอขึ้นเป็นคู่ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ