เอเจนซีส์ - ริชี ซูนัค กลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนที่ 3 ในรอบ 7 สัปดาห์เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เช้านี้ (25 ต.ค.) ก่อนที่จะเปิดแถลงครั้งแรกหน้าทำเนียบถนนดาวนิง ยืนยันจะแก้ไขวิกฤตอังกฤษที่อดีตนายกรัฐมนตรี ลิซ ทรัสส์ เป็นผู้ก่อ ขณะที่อดีตผู้นำหญิงขึ้นกล่าวอำลายืนยัน อังกฤษจำเป็นต้องได้นโยบายที่กล้าเปลี่ยนครั้งใหญ่ แต่ไม่มีคำขออภัยอยู่ในนั้น
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (25 ต.ค.) ว่า สำนักพระราชวังบักกิงแฮม อังกฤษแถลงว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ ได้เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 เช้านี้ ที่พระราชวังบักกิงแฮม เพื่อถวายหนังสือลาออกจากตำแหน่งและพระองค์ได้ทรงรับไว้ ซึ่งหลังจากนี้ว่าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ ริชี ซูนัค จะเดินทางมาเพื่อเข้าเฝ้าเช่นกัน
ในรายงานกล่าวว่า ซูนัคเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และจะได้รับการโปรดเกล้าให้เขาจัดตั้งรัฐบาลอังกฤษชุดใหม่ ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปทำเนียบบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง เพื่อแถลงเป็นทางการครั้งแรกในฐานะนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่
ในแถลงการณ์แรกที่ออกมา ซูนัคยอมรับความผิดพลาดที่ก่อโดยทรัสส์ อดีตผู้นำคนก่อนหน้าของพรรคคอนเซอร์เวทีฟ NBC News ชี้ว่า เขาประกาศที่จะบริหารประเทศด้วยความเที่ยงธรรม ความเป็นมืออาชีพ และการมีความรับผิดชอบ ซึ่งถือเป็น 3 สิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ไม่มี
“ประเทศของเรากำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตเศรษฐกิจที่สาหัส” และเสริมต่อว่า “ผมจะทำให้ประเทศของเราเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่ใช่มาจากคำพูด แต่เป็นการกระทำ”
เขาได้รับการยืนยันในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 57 เกิดขึ้นหลังการเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ภายในพระราชวังบักกิงแฮมเช้านี้ (25) ซึ่งจากการที่มีอายุแค่ 42 ปี ในขณะรับตำแหน่ง ทำให้ซูนัคกลายเป็นผู้นำอังกฤษที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษกว่า 200 ปี
ในแถลงการณ์ของซูนัค เขาย้ำว่า จะต้องมีการตัดสินใจที่ยากลำบากเกิดขึ้นเป็นเพราะเขาจะไม่ปล่อยให้คนรุ่นถัดไปต้องแก้ปัญหาหนี้ที่ “พวกเราอ่อนแอเกินไปที่จะสามารถจ่ายได้ด้วยตัวเอง”
แถลงการณ์ยังระบุว่า เขาตั้งปฏิญาณที่จะสร้างความเสถียรภาพแก่เศรษฐกิจอังกฤษและรวมไปถึงความเชื่อมั่น
บีบีซีรายงานว่า ก่อนที่ผู้นำคนใหม่จะขึ้นแถลง อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ลิซ ทรัสส์ ได้ขึ้นแถลงอำลาเป็นครั้งสุดท้ายที่ด้านหน้าทำเนียบถนนดาวนิง แต่ทว่าในคำอำลากลับไม่มีการขออภัยออกมาหลังจากที่เธอได้ก่อวิกฤตความโกลาหลครั้งใหญ่
ซึ่งในคำแถลงอำลา อ้างอิงจากเดอะการ์เดียน ทรัสส์กล่าวว่า การได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษนั้นยิ่งต้องย้ำมากกว่าเดิมว่า อังกฤษจำเป็นต้องมีนโยบายที่กล้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
