เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - สื่อสหรัฐฯ รายงานใบปลิวโจมตีการประท้วงประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ถูกพบทั้งในจีนและต่างประเทศหลังผู้นำจีนได้รับฉันทมติดำรงตำแหน่งในฐานะเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ดำรงตำแหน่งต่อสมัย 3 พบคลิปป้ายผ้าขึงกลางสะพานรถข้ามในกรุงปักกิ่ง มีใจความต่อต้านนโยบายโควิด-19 แสวงหาเสรีภาพ ไม่ต้องการผู้นำเผด็จการ คล้ายกับที่พบในต่างแดน
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (22 ต.ค.) ว่า ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ได้รับฉันทมติจากที่ประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ CCP ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่พรรคต่อเป็นสมัยที่ 3 ส่งผลทำให้สีกลายเป็นผู้นำจีนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ประธานเหมา เจ๋อตุง อ้างอิงจากบีบีซี สื่ออังกฤษ แต่ทว่าการนั่งเป็นผู้นำต่อกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะในช่วงหนึ่งของการประชุมมีเหตุที่ไม่คาดฝันเพราะมีการเชิญอดีตประธานาธิบดีจีนคนก่อนหน้า หู จิ่นเทา ออกไป
สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ระหว่างที่สีกระชับอำนาจรอบใหม่นี้กลับไม่ปรากฏชื่อ ยาง เจียฉือ (Yang Jiechi) ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการต่างประเทศ ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรองนายกรัฐมนตรี หลิว เหอ (Liu He) ผู้ได้ฉายาว่าเป็น “ซาร์” ด้านเศรษฐกิจของจีนอยู่ในโปลิตบูโร
ซึ่งบีบีซี สื่ออังกฤษวิเคราะห์ว่า ผู้บัญชาการลำดับ 2 ชุดใหม่นี้ต้องพึ่งพาสีโดยสิ้นเชิง แต่ทว่าภายในจีนและต่างประเทศนั้นปรากฏร่องรอยการต่อต้านสีอย่างชัดเจน
CNN รายงานว่า กงสุลใหญ่จีนประจำเมืองแมนเชสเตอร์ เจิ้ง ซีหยวน (Zheng Xiyuan) ได้ให้สัมภาษณ์กับสกายนิวส์ของอังกฤษในวันพุธ (19) ยอมรับว่า เขาดึงผมผู้ประท้วงฮ่องกง บ็อบ ชาน (Bob Chan) ในวันอาทิตย์ (16) ก่อนหน้าซึ่งมีปรากฏคลิปถึงภาพผู้ประท้วงถูกลากตัวเข้าไปภายในเขตสถานกงสุลจีน และถูกทำร้ายร่างกาย
นักข่าวสกายนิวส์ถามเพื่อยืนยันกับกงสุลใหญ่ปักกิ่งเกี่ยวกับภาพตัวเขาร่วมอยู่ด้วยที่เห็นเจิ้งดึงผมผู้ประท้วงฮ่องกง และทำให้เขาต้องยอมรับโดยดุษณี ด้วยการกล่าวว่า “ใช่ ชายคนนั้นทำร้ายประเทศของผม ผู้นำของผม ผมคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของผม”
การประท้วงสีในจีนที่น้อยครั้งจะปรากฏต่อสาธารณะเกิดขึ้นวันพฤหัสบดี (13) เมื่อป้ายผ้าผืนใหญ่เขียนอักษรสีแดงถูกแขวนบนสะพานข้ามรถทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปักกิ่ง
CNN ชี้ว่า ภาพปรากฏไปทั่วทวิตเตอร์บ่ายวันพฤหัสบดี (13) แสดงป้ายผ้า 2 ผืนมีใจความต่อต้านผู้นำจีนและนโยบายโควิด-19 ของเขารวมไปถึงการปกครองแบบอำนาจนิยมของเขา
“ปฏิเสธต่อการตรวจโควิด ตอบรับต่ออาหาร ไม่ต่อการล็อกดาวน์ ใช่ต่อเสรีภาพ ปฏิเสธต่อคำโกหก ตอบรับต่อศักดิ์ศรี ไม่ต่อการปฏิวัติวัฒนธรรม ใช่ต่อการปฏิรูป ปฏิเสธต่อผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ใช่ต่อการเลือกตั้ง จงอย่าเป็นทาสแต่เป็นประชาชน” รายงานจากข้อความจากป้ายผ้าที่แขวนไว้
ส่วนป้ายผ้าอีกผืนมีใจความว่า “ออกไปผละงานเพื่อโค่นเผด็จการและผู้ทรยศต่อชาติ สี จิ้นผิง”
ซึ่งทั้งภาพนิ่งและวิดีโอคลิปแสดงให้เห็นถึงควันไฟพวยพุ่งจากสะพาน และเสียงกล่าวแสดงคำขวัญที่บันทึกไว้ดังออกมาจากลำโพงกระจายเสียง สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ แต่ทว่าอ้างอิงจากแผนที่พบว่าเหตุเกิดขึ้นที่สะพานสิต่ง (Sitong Bridge) สะพานข้ามรถในเขตไห่เตียน (Haidian district) กรุงปักกิ่ง และเมื่อนักข่าว CNN เดินทางไปถึงสะพานแห่งนี้ในเวลา 15.30 น.ของวันนั้นกลับไม่พบผู้ประท้วงหรือป้ายผ้า แต่มีจำนวนเจ้าหน้าที่ความมั่นคงปรากฏอยู่อย่างหนาตาที่สะพานและบริเวณโดยรอบ
การประท้วงสียังปรากฏอยู่ในต่างแดน ซึ่งหนึ่งในนักศึกษาจีนที่อยู่เบื้องหลังได้ให้สัมภาษณ์กับ CNN ว่าเป็นผู้เผยแพร่ใบปลิวโจมตีผู้นำจีนจริง
โจลี (Jolie) ซึ่งเป็นนามแฝงของนักศึกษาจีนได้แปะใบปลิวโจมตีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่มหาวิทยาลัยลอนดอน (University of London) ชื่อดังในเขตแคมปัสโกลดสมิธส์ (Goldsmiths) ในช่วงเช้าตรู่วันศุกร์ที่แล้วซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีคนไม่มากนักหลังจากได้พิมพ์ใบปลิวบนกระดาษเอ 4 เตรียมไว้ตั้งแต่คืนก่อนหน้า
ข้อความบนใบปลิวมีเนื้อหาไม่ต่างจากป้ายผ้าที่ขึงไว้เหนือสะพานรถข้ามในกรุงปักกิ่ง
ขณะที่ใบปลิวที่ปรากฏอยู่ในเนเธอร์แลนด์นั้นมีข้อความเหมือนกับที่ปรากฏในห้องน้ำสาธารณะในประเทศจีนเอง โดยมีใจความว่า
“ชีวิตไม่ใช่นโยบายโควิดเป็นศูนย์ เสรีภาพไม่ใช่การล็อกดาวน์ ศักดิ์ศรีไม่ใช่คำโกหก ปฏิรูปไม่ใช่การถอยหลัง การเลือกตั้งไม่ใช่เผด็จการ และประชาชนไม่ใช่ทาส”
CNN รายงานว่า เรฟเวน วู (Raven Wu) และเจิ้น เชียง (Chen Qiang) ต่างเป็นนักศึกษาในจีนหลังได้แรงบันดาลใจจากการประท้วงที่สะพานและเริ่มเขียนสโลแกนต่อต้านในห้องน้ำสาธารณะ
หนึ่งในนั้นคือเจิ้น แสดงความเห็นอย่างชัดเจนกับสื่อสหรัฐฯ ว่า “แน่นอนที่สุดผมรักประเทศของผม แต่ทว่าผมไม่ได้รักพรรค (พรรคคอมมิวนิสต์จีน) แต่อย่างใด” ส่วนวูกล่าวแสดงความรู้สึกว่า “ผมรู้สึกถึงความรู้สึกของการเสียอิสรภาพไประหว่างกำลังเขียน” พร้อมชี้ว่าภายใต้ประเทศที่มีวัฒนธรรมสุดโต่ง การเซ็นเซอร์ทางการเมือง และไม่สามารถแสดงความเห็นส่วนตัวทางการเมืองได้ วูยอมรับว่าเป็นครั้งแรกที่เขามีความสุขในฐานะประชาชนจีน