เอเจนซีส์ - สหภาพยุโรป สหรัฐฯ และผู้นำทั่วโลกล่าสุดออกมาประณามรัสเซียที่เปิดฉากโจมตียูเครนวันจันทร์ (10 ต.ค.) อย่างไม่เลือกหน้าด้วยมิสไซล์ถึง 83 ลูก ว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม กองทัพอากาศยูเครนเปิดเผย ฝ่ายรัสเซียใช้มิสไซล์รุ่น Kh-101 ที่มีพิสัยทำการไกล 5,500 กิโลเมตร และยังพยายามตบตาเคียฟไม่ให้หาเป้าเจอ ขณะที่เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นอีกครั้งเช้าวันอังคาร (11 ต.ค.)
อัลอาราบิยา สื่อซาอุดีอาระเบีย รายงานวานนี้ (10 ต.ค.) ว่า สหภาพยุโรปเชื่อว่าการโจมตีมิสไซล์ต่อพลเรือนในยูเครนนั้นถือเป็นอาชญากรรมสงคราม โฆษกหัวหน้านโยบายต่างประเทศ EU ของโจเซฟ บอร์เรล (Josep Borrell) แถลงวันจันทร์ (10)
โฆษกปีเตอร์ สตาโน (Peter Stano) กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “การโจมตีประชาชนโดยไม่เลือกหน้าของฝูงห่ามิสไซล์ที่ขี้ขลาดต่อเป้าหมายพลเรือนนั้นเป็นการยกระดับอย่างชัดเจน” และกล่าวต่อว่า “สหภาพยุโรปขอประณามด้วยถ้อยคำที่แรงที่สุดต่อการโจมตีที่ป่าเถื่อนต่อพลเรือนและสิ่งปลูกสร้างทางพลเรือน..นี่เป็นบางสิ่งที่ละเมิดต่อกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการไม่เลือกเป้าหมายโจมตีพลเรือนนี้ถือเป็นอาชญากรรมสงคราม”
และเมื่อเขาถูกถามถึงบทบาทเบลารุสที่มีส่วนในการส่งกลุ่มกำลังทหารรัสเซียและเบลารุสไปยังสมรภูมิรบที่ไม่เปิดเผยนั้น ได้กล่าวตอบว่า เขาขอเตือนมินสค์ให้เว้นจากการช่วยมอสโกในยูเครนในอนาคต
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมาประณามการโจมตียูเครนที่ปูพรมกว้างและหนักหน่วงภายในวันเดียวกัน โดยสื่อโพลิติโก (Politico) ของสหรัฐฯ รายงานว่า
ไบเดนกล่าวในวันจันทร์ (10) ว่า “พวกเราจะยังคงเพิ่มต้นทุนของรัสเซียต่อความก้าวร้าว ให้ปูติน และรัสเซียต้องรับผิดชอบต่อความป่าเถื่อนและอาชญากรรมสงคราม และให้การสนับสนุนที่เหมาะสมแก่กองกำลังยูเครนเพื่อให้สามารถป้องกันประเทศของพวกเขาและเสรีภาพของพวกเขาได้”
และพร้อมกันนี้ ผู้นำสหรัฐฯ ยังได้แสดงความเสียใจไปยังครอบครัวของบุคคลอันเป็นที่รักที่ต้องเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้
อ้างอิงจากเอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ พบว่า ผู้นำสหรัฐฯ ได้พูดคุยหารือทางโทรศัพท์ร่วมกันกับประธานาธิบดียูเครน โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ในวันเกิดเหตุ โดยบนทวิตเตอร์ของผู้นำยูเครน เขาเปิดเผยว่าได้คุยโทรศัพท์หารือร่วมกับผู้นำสหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส ซึ่งเซเลนสกีกล่าวว่า มีความจำเป็นต้องเพิ่มแรงกดดันรัสเซียเพิ่มมากขึ้น โดยในรายงานทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์กล่าวว่า ประธานาธิบดีปูตินเป็นคนสั่งด้วยตัวเองต่อการโจมตีมิสไซล์แบบปูพรมวันจันทร์ (10)
ซึ่งนอกเหนือจากชาติเหล่านี้แล้วพบว่า นาโต้ยังออกมาประณามเช่นกัน CNN รายงานว่า พลเอกเยนส์ สต็อลเตินบาร์ก (Jens Stoltenberg) ผู้นำนาโต้กล่าวประณามรัสเซียว่า “การโจมตีที่ไม่เลือกหน้าและน่าสยดสยองต่อสิ่งปลูกสร้างทางพลเรือนในยูเครน” และกล่าวผ่านทวิตเตอร์ว่า เขาได้หารือร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน ดมิโตร คูเลบา (Dmytro Kuleba) แล้ว
พร้อมกันนี้ ยังได้ยืนยันว่า นาโต้จะยังคงให้การสนับสนุนประชาชนที่กล้าหาญของยูเครนในการสู้กับความก้าวร้าวของเครมลินตราบนานเท่านานที่มันดำเนิน
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินยูเครนกล่าวเปิดเผยว่า มีตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดจากเหตุโจมตีอยู่ที่ 19 รายและบาดเจ็บอีก 105 จากการโจมตีด้วยมิสไซล์รัสเซียวานนี้ (11)
บีบีซีรายงานด่วนวันอังคาร (11) ว่า เกิดเสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศดังอีกครั้งเป็นวันที่ 2 ในเช้าวันอังคาร (11) ทั่วประเทศถึงความน่าจะเป็นที่อาจจะถูกโจมตีเมื่อเวลา 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ขณะที่หน่วยฉุกเฉินได้ส่งคำเตือนทางมือถือว่า “มีความน่าจะเป็นที่อาจจะเกิดการโจมตีด้วยมิสไซล์ต่อยูเครนวันนี้” และแนะนำให้ทุกคนอยู่ในที่หลบภัยเพื่อความปลอดภัย
ขณะเดียวกัน กองทัพอากาศยูเครนได้เปิดเผยถึงการโจมตีมิสไซล์รัสเซียที่เกิดวันจันทร์ (10) โดยสื่อยูเครน ยูเครนสกา พราฟดา (Ukrainska Pravda) รายงานว่า โฆษกกองบัญชาการกองทัพอากาศยูเครนของปฏิบัติการร่วม 24/7 ยูรี อีห์นาต (Yurii Ihnat) กล่าวให้ข้อมูลว่า มีมิสไซล์รัสเซียยิงมาที่ยูเครนราว 83 ลูก และมาจนถึงเวลา 11.40 น.ของวันจันทร์ (10) ทางยูเครนสามาราถยิงสกัดได้ 43 ลูก
นอกจากนี้ เปิดเผยว่าฝ่ายข้าศึกรัสเซียใช้มิสไซล์รุ่น Kh-101 และรุ่น Kh-555 ที่ยิงออกมาจากเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธวิธีที่ถูกยิงออกมาจากทะเลแคสเปียน (Caspian Sea) มิสไซล์ Kalibr จากทะเลดำและรวมไปถึงมิสไซล์ Iskander มิสไซล์ S-300 และมิสไซล์ทอร์นาโด (Tornado)
ซึ่งโฆษกกองทัพอากาศยูเครนกล่าวว่า มิสไซล์รุ่น Kh-101 มีพิสัยทำการไกลราว 5,500 กิโลเมตรทีเดียว และกล่าวเปิดเผยว่าฝ่ายศัตรูพยายามลวงระบบต่อต้านทางอากาศยูเครนและเครื่องบินขับไล่ต่อต้านอากาศยานยูเครนไม่ให้สามารถจับทิศทางเพื่อค้นพบเป้าหมายทางอากาศของรัสเซียได้