เอเจนซีส์ - สำนักพระราชวังเดนมาร์กออกแถลงการณ์วันพุธ (28 ก.ย.) ว่า สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก มีพระราชเสาวนีย์ถอดพระฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าของพระราชนัดดา 4 พระองค์ในเจ้าชายโจอาคิมออก และให้ใช้ยศชั้นเคานต์และเคาน์เตสแทน เพื่อประโยชน์ในการดำรงชีวิตในภายภาคหน้า แต่ทว่าผู้เป็นพ่อช็อกหลังรับรู้ข่าวร้ายล่วงหน้าแค่ 5 วันก่อนหน้าเท่านั้น
สปุตนิกนิวส์ สื่ออังกฤษรายงานวันนี้ (29 ก.ย.) ว่า ในขณะที่พระราชเสาวนีย์ถอดพระฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้านั้นเพื่อต้องการให้สมาชิกราชวงศ์แห่งเดนมาร์กสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นอิสระมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องถูกจำกัดจากฐานันดรศักดิ์ และพระกรณียกิจทั้งหลาย แต่ทว่าคำสั่งฟ้าผ่าที่ออกมาทำให้ผู้ได้รับผลกระทบไม่ทันตั้งตัว
สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (Queen Margrethe II of Denmark) ทรงมีพระราชเสาวนีย์ถอดพระฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าของพระราชนัดดา 4 พระองค์จากที่มีทั้งหมด 8 พระองค์ให้ดำรงตำแหน่งชั้นเคานต์ หรือเคาน์เตสแทน
สำนักพระราชวังเดนมาร์กออกแถลงการณ์วันพุธ (28 ก.ย.) มีใจความว่า คำสั่งถอดพระฐานันดรศักดิ์ของพระโอรสและพระธิดา 4 พระองค์ในเจ้าชายโจอาคิม เคานต์แห่งมงเปอซา (Prins Joachim Holger Waldemar Christian til Danmark, greve af Monpezat) ออกและจะมีผลตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ทั้งนี้ เจ้าชายโจอาคิม ทรงเป็นพระราชโอรสองค์สุดท้ายในสมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์กกรีนแลนด์ และหมู่เกาะแฟโร และเจ้าชายเฮนริกแห่งเดนมาร์ก พระราชสวามี
ในแถลงการณ์สำนักพระราชวังเดนมาร์กกล่าวว่า พระราชนัดดาทั้ง 4 ได้แก่
(1) เจ้าชายนิโคไล (Prince Nikolai) วัย 23 พรรษา (2) เจ้าชายเฟลิกซ์ (Prince Felix) วัย 20 พรรษา เจ้าชายเฮนริก (Prince Henrik) วัย 13 พรรษา และเจ้าหญิงอะธีนา (Princess Athena) วัย 10 พรรษา
โดยทั้งหมดจะดำรงพระยศใหม่ได้แก่ เคานต์แห่งมงเปอซา และเคาน์เตสแห่งมงเปอซาแทน ซึ่งสำหรับพระฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้านั้นจะยังคงใช้ไปจนถึงสิ้นปี 2022 และจะเริ่มใช้พระยศใหม่ในต้นปีถัดไป
สำนักพระราชวังเดนมาร์กได้แถลงเหตุผลเป็นทางการว่า การตัดสินพระทัยนี้เพื่อต้องการให้พระราชนัดดาทั้ง 4 ของพระองค์สามารถมีชีวิตแบบสามัญชนมากขึ้น และการกระทำครั้งนี้ยังสอดคล้องไปกับกระแสนิยมที่เห็นราชวงศ์ยุโรปเริ่มลดจำนวนพระบรมวงศานุวงศ์ลง เป็นต้นว่า พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ มีรายงานว่ามีพระราชประสงค์ต้องการลดจำนวนสมาชิกราชวงศ์ลงและต้องการให้มีพระบรมศานุวงศ์ชั้นสูงแค่ 7 พระองค์เท่านั้น
ในแถลงการณ์ระบุว่า อย่างไรก็ตามถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่พระราชนัดดาทั้งหมดจะยังคงอยู่ในลำดับการครองราชย์เช่นเดิมโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
สปุตนิกนิวส์รายงานว่า เจ้าชายโจอาคิมซึ่งทรงอยู่ในลำดับที่ 6 ของการสืบสันตติวงศ์นั้นทรงมีพระโอรสพระองค์โต 2 พระองค์ร่วมกับอดีตพระชายา อเล็กซันดรา คริสตินา เคาน์เตสแห่งเฟรเดอริกสบอร์ก วัย 58 ปี ซึ่งเคาน์เตสได้ออกมาแสดงความรู้สึกอย่างอัดอั้นกับหนังสือพิมพ์ BT ว่า
“นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง พวกเด็กๆ ต่างรู้สึกเหมือนถูกผลักไส พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระฐานันดรศักดิ์ชั้นเจ้าของตัวเองจึงถูกถอดออกไป”
ขณะที่เจ้าชายโจอาคิม วัย 53 พรรษ ซึ่งเป็นพระราชโอรสพระองค์สุดท้ายของควีนแห่งเดนมาร์กนั้นได้แสดงความประหลาดใจอย่างคาดไม่ถึง โดยหนังสือพิมพ์เดลีเมลของอังกฤษรายงานว่า เจ้าชายได้รับการแจ้งข่าวร้าย 5 วันก่อนหน้าเท่านั้น
พระองค์ทรงตรัสในการประทานสัมภาษณ์กับสื่อเดนมาร์ก Ekstra Bladet วันพฤหัสบดี (29) ว่า “พวกเรารู้สึกโศกเศร้ามาก มันไม่เป็นการดีเลยที่จะได้เห็นลูกๆ ของตัวเองจะต้องตกอยู่ในอันตราย พวกเขาถูกผลักไสให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจได้”
สื่ออังกฤษรายงานว่า เจ้าชายโจอาคิมทรงได้รับการแจ้งการตัดสินพระทัยนี้มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม แต่ทว่าในเช้าวันนี้ (29) พระองค์ทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงเพิ่งทราบเมื่อ 5 วันก่อนหน้าเท่านั้น
เจ้าชายโจอาคิมทรงอธิบายว่า
“ข้าพเจ้าได้รับสารแจ้งล่วงหน้า 5 วันเพื่อบอกกับพวกเขา ในเดือนพฤษภาคมนั้นข้าพเจ้าได้รับการเสนอแผนการซึ่งอย่างกว้างๆ คือการที่เมื่อใดก็ตามที่พวกเด็กๆ แต่ละคนมีอายุครบ 25 ปี สิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ในเวลานี้ข้าพเจ้ากลับมีเวลาแค่ 5 วันในการแจ้ง อะธีนาจะมีอายุครบ 11 ปีในเดือนมกราคม”
เดลีเมลรายงานว่า อย่างไรก็ตาม สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก วัย 82 พรรษา ทรงออกมาปกป้องพระราชเสาวนีย์ของพระองค์อีกครั้งระหว่างเสด็จพระราชดำเนินไปยังงานแห่งหนึ่งที่กรุงโคเปนเฮเกน ว่า “มันเป็นการพิจารณาที่ข้าพเจ้าได้ใคร่ครวญมาเป็นเวลานานแล้ว และข้าพเจ้าคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับอนาคตของพวกเขา”