xs
xsm
sm
md
lg

เปิดแล้ว!! เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง HIMARS เป็นตัวพลิกเกมให้ “เคียฟ” บดขยี้ “ปูติน” เพนตากอนเล็งผลิตเพิ่มด่วน “กองทัพรัสเซีย” ส่ง ฮ.ไล่ตามจับทหารหนีทัพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเจนซีส์ - ข่าวกรองอังกฤษยืนยันวันนี้ (14 ก.ย.) ว่าเกือบเป็นที่แน่นอนว่า “รัสเซีย” ใช้อาวุธจากอิหร่านและเกาหลีเหนือทำสงครามยูเครน หลังเคียฟใช้ตัวพลิกเกม "เครื่องยิงจรวดหลายลำกล้อง HIMARS" ของสหรัฐฯ จนสามารถนำธงฟ้าเหลืองลุกคืบไปจนถึงพรมแดนรัสเซียสำเร็จ กองทัพสหรัฐฯ มีแผนเร่งผลิตเพิ่มด่วน ขณะที่คณะเสนาธิการทหารกองทัพยูเครนแถลงทางเฟซบุ๊กบ่ายวันศุกร์ (9) ว่า กองทัพรัสเซียส่งฝูงเฮลิคอปเตอร์ไล่ตามจับทหารรัสเซียหนีทัพในบาเบนคิฟคา (Babenkivka) ภูมิภาคเคียร์ซอน

บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันนี้ (14 ก.ย.) ว่า กองทัพสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อตามหาบริษัทผลิตอาวุธเพื่อเร่งการผลิตระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง HIMARS เพิ่มอีกกว่า 100 ตัว หลังพบประสิทธิภาพกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมทำให้ยูเครนสามารถกลับมาเหนือกว่ารัสเซีย ไล่ตีโต้คืนยึดพื้นที่จากฝ่ายรัสเซียได้สำเร็จ

เชื่อว่าผลงานความสามารถนี้จะส่งผลทำให้ยอดดีมานด์เพิ่ม บิสซิเนสอินไซเดอร์ชี้ และเสริมว่า ไต้หวันนั้นก่อนหน้าต้องการเครื่องยิงจรวด HIMARS สุดฮอตเพิ่มเช่นกัน

กองทัพสหรัฐฯ ต้องการบริษัทคอนแทร็คเตอร์ผู้ผลิตอาวุธที่สามารถผลิตระบบยิงจรวด HIMARS ได้สูงสุด 100 ตัวต่อปี และในแผนการ 5 ปีของสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2024 ถึงปี 2028 พบว่าสหรัฐฯ ต้องการ HIMARS ระหว่าง 24-96 ตัวในแต่ละปี ทั้งหมดโดยประมาณพบว่าตลอด 5 ปี กองทัพสหรัฐฯ มีแผนต้องการ HIMARS ราว 120-480 ตัว

ซึ่งปัจจุบันนี้ ระบบยิงจรวด HIMARS ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมาจากบริษัทล็อกฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) เป็นบริษัทด้านอากาศยาน อวกาศ และการป้องกันประเทศรายใหญ่ของโลกสัญชาติอเมริกา

บิสซิเนสอินไซเดอร์รายงานว่า ตัวเลขเครื่องยิงจรวด HIMARS 480 ตัวนั้นจะกลายเป็น 2 เท่าซัปพลายโลกของเครื่องยิงจรวดประเภทนี้ทันที

ซึ่งในการรุกคืบของยูเครนที่ก้าวหน้าจนทำให้รัสเซียต้องล่าถอยพบว่ากองกำลังยูเครนใช้ "M142 HIMARS" (M142 High-Mobility Artillery Rocket Systems) โจมตีกองกำลังรัสเซียอย่างหนัก

อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานวันที่ 9 ก.ย. พบว่า M142 HIMARS เป็นรถบรรทุกหนัก 5 ตัน ที่สามารถยิงจรวดนำวิถีได้ในพิสัยการโจมตีระยะ 50 ไมล์โดยน้ำหนักระเบิดอยู่ที่ 200 ปอนด์

นิวยอร์กไทม์สชี้ว่า เพนตากอนเริ่มป้อน HIMARS ให้เคียฟครั้งแรกในเดือนมิถุนายนและปัจจุบันเคียฟมีทั้งหมด 16 ตัว

ประธานคณะเสนาธิการร่วมกองทัพสหรัฐฯ พล อ.มาร์ค มิลลีย์ แถลงวันพฤหัสบดี (8) ว่า HIMARS สามารถโจมตีเป้าหมายที่ตั้งรัสเซียได้มากกว่า 400 จุด รวมที่ตั้งกองบัญชาการและคลังแสงอาวุธ

นิวส์วีกรายงานวันจันทร์ (12) ว่า เป็นที่ฮือฮาไปทั่วถึงการรุกคืบครั้งใหญ่ของเคียฟ ภาพวิดีโอคลิปแสดงให้เห็นกองกำลังยูเครนมาพร้อมธงชาติฟ้าเหลืองสามารถเคลื่อนในภูมิภาคคาร์คีฟ (Kharkiv) ไปทางเหนือสุด จนถึงพรมแดนรัสเซียได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

ขณะเดียวกัน วันนี้ (14) หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน รายงานว่าข่าวกรองอังกฤษเปิดเผยว่า เกือบเป็นที่แน่นอนว่า “รัสเซีย” ใช้อาวุธจาก "อิหร่าน" และ "เกาหลีเหนือ" ในการทำสงครามหลังจากยุทโธปกรณ์ของตัวเองในคลังแสงเริ่มร่อยหรอ

ในรายงานข่าวกรองลับของกองทัพอังกฤษวันพุธ (14) ยืนยันว่า รัสเซียใช้โดรนของอิหร่านในสงครามยูเครนหลังก่อนหน้า 1 วันเคียฟยืนยันว่า สามารถยิงโดรนอิหร่าน " Shahed-136 " ตกใกล้แนวหน้า เป็นอาวุธแบบโจมตีทางเดียวพบใช้อยู่ในตะวันออกกลาง

ข่าวกรองอังกฤษวิเคราะห์ว่า การที่รัสเซียใช้โดรนอิหร่านเป็นอาวุธเชิงยุทธวิธีมากกว่าที่จะใช้ยุทโธปกรณ์ทางยุทธศาสตร์ในการโจมตีเป้าหมายทางการทหารลึกเข้าไปในดินแดนยูเครน

ข่าวการเพลี่ยงพล้ำของรัสเซียยังรวมไปถึงกำลังพลรัสเซียในสนามรบ นิวสวีกรายงานวันศุกร์ (9) ว่า รัสเซียส่งฝูงเฮลิคอปเตอร์ออกไปเพื่อนำตัวทหารหนีทัพกลับมา

โดยคณะเสนาธิการทหารกองทัพยูเครนแถลงทางเฟซบุ๊กบ่ายวันศุกร์ (9) ว่า สภาพขวัญกำลังใจของกองกำลังทหารรัสเซียอยู่ในขั้นเลวร้าย และไม่มีความต้องการที่จะสู้รบ

นอกจากนี้ คณะเสนาธิการทหารกองทัพยูเครนยังกล่าวว่า จำนวนทหารรัสเซียหนีทัพมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และชี้ว่าในพื้นที่เคียร์ซอน (Kherson) ที่รัสเซียเข้ายึด ในพื้นที่บาเบนคิฟคา (Babenkivka) รัสเซียได้ส่งทั้งฝูงเฮลิคอปเตอร์และอาวุธเพื่อติดตามค้นหาทหารที่หนีทัพและนำตัวส่งกลับไปยังที่ตั้งการสู้รบ

และเปิดเผยต่อว่า “ตลอดทั้งคาลานชัค (Kalanchak)ในทิศทางของไครเมียที่ถูกยึดครองชั่วคราว มีการเคลื่อนไหวอย่างน่าจับตาของกำลังทหารรัสเซียที่ไม่มีอาวุธ”

ซึ่งคาลานชัคตั้งอยู่ในภูมิภาคเคียร์ซอน ซึ่งเป็นจุดที่เคียฟกำลังต่อสู้ผลักดันรัสเซียกลับไปอย่างหนักในเวลานี้

อย่างไรก็ตาม นิวสวีกรายงานว่า ยังไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รายงานออกมาจากเคียฟได้


กำลังโหลดความคิดเห็น