เอเจนซีส์ - มีรายงานว่าผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน สั่งปลด พล.ท.โรมัน เบิร์ดนิคอฟ (Roman Berdnikov) หลังเคียฟรุกคืบโต้กลับทางตะวันออกของยูเครนมาได้ จนฝ่ายรัสเซียต้องยอมถอนกำลังทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวรัสเซียรับผลสงครามโดนจำกัดวีซ่าเข้าสู่สหภาพยุโรปตั้งแต่วันจันทร์ (12 ก.ย.)
หนังสือพิมพ์เมโทรอังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (12 ก.ย.) ว่า มีรายงานเปิดเผยออกมาว่า ประธานาธิบดีรัสเซียได้สั่งไล่ พล.ท.โรมัน เบิร์ดนิคอฟ (Roman Berdnikov) ออกจากตำแหน่งระดับผู้บัญชาการ หลังเขาเพิ่งเข้าทำงานได้แค่ 16 วัน เกิดขึ้นหลังเคียฟประกาศชัยประสบความสำเร็จในการโต้คืนทางภาคตะวันออก สามารถปลดปล่อยหมู่บ้านต่อหมู่บ้านให้เป็นอิสระจากการยึดครองของรัสเซียได้
มีรายงานว่า บรรดากองกำลังทหารประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ที่ลนลานต่างล่าถอยออกไปพร้อมกับทิ้งยุทโธปกรณ์ไว้ทั้งรถถัง อาวุธ และเสบียงจากการที่ฝ่ายยูเครนค้นพบว่าอาหารยังเหลืออยู่บนโต๊ะหลังจากการต้องถอนกำลังออกอย่างทันที
เมโทรชี้ว่า เบิร์ดนิคอฟกลายเป็นหนึ่งในรายชื่อที่โดนประณามจากผู้นำรัสเซียของต้นเหตุความปราชัยที่เกิดขึ้นหลังการศึกนั้นไม่มีความคืบหน้าอยู่หลายเดือนก่อนหน้า
CNN รายงานว่า แค่เฉพาะในเดือนกันยายนยูเครนสามารถปลดปล่อยพื้นที่ได้ถึง 6,000 ตารางกิโลเมตรตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน
อย่างไรก็ตาม เครมลินไม่ยืนยันในรายงานที่ออกมาหลังจากมีรายงานอีกชิ้นที่อ้างว่าพลโทรัสเซียนายนี้เสียชีวิตในเดือนมิถุนายน ท่ามกลางความสับสนว่านายพลรัสเซียที่เสียชีวิตนั้นแท้จริงเป็นเบิร์ดนิคอฟ หรือนายพลรัสเซียอีกนายที่มีชื่อคล้ายกันคือ โรมัน คูตูซอฟ (Roman Kutuzov)
อ้างอิงจากดิอินดีเพนเดนท์ ฝ่ายเคียฟเชื่อว่า พล.ท.โรมัน เบิร์ดนิคอฟ ที่เคยมีผลงานในซีเรียล่าสุดถูกถอดออกไปหลังเป็นผู้นำทัพทำสงครามในเขตดอนบาส เชื่อว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่นายทหารระดับสูงเพียงนายเดียวที่ถูกสั่งปลดระหว่างสงคราม
360 นิวส์รายงานว่า ขณะเดียวกันคำสั่งจำกัดการออกวีซ่าให้นักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้าสหภาพยุโรปได้เริ่มต้นบังคับใช้ในวันจันทร์ (12) ส่งผลทำให้รัสเซียถูกโดดเดี่ยวจากยุโรปโดยสิ้นเชิง ซึ่งการขอจะทำได้ยากมากโดยต้องยื่นเอกสารเพิ่มเป็นจำนวนมาก กระบวนการอนุมัติใช้เวลานานและข้อจำกัดมากขึ้นต่อการออกวีซ่าเชงเก้นแบบเข้าออกหลายครั้ง นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายแพงถึง 80 ยูโร หรือราว 2,941 บาท จากแต่เดิมที่ 35 ยูโร หรือราว 1,287 บาท
ผลบังคับใช้วันจันทร์ (12) เกิดขึ้นหลังในวันศุกร์ (9) หลัง EU มีมติอนุมัติตามข้อเสนอจากคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) หลังการตกลงทางการเมืองร่วมกันในระดับรัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิก 27 ชาติ ออกมาตามข้อเสนอพันธมิตรบอลติกและ “ฟินแลนด์”