ราคาน้ำมันดิ่งลงมากกว่า 4 ดอลลาร์ในวันพุธ (7 ก.ย.) ต่ำที่สุดตั้งแต่ก่อนรัสเซียรุกรานยูเครน และทองคำแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนวอลล์สตรีทพุ่งแรง นักลงทุนช้อนซื้อตามหลังแรงเทขายเมื่อเร็วๆ นี้
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 4.94 ดอลลาร์ ปิดที่ 81.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 4.83 ดอลลาร์ ปิดที่ 88.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์
ธนาคารกลางหลายแห่งของโลกเน้นย้ำเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อสู้กับเงินเฟ้อ แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์มองว่าดูเหมือนสหรัฐฯ จะยืนหยัดรับมือกับพายุได้ดีกว่าชาติอื่นๆ มันส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าสุดในรอบ 24 ปีเมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น และ 37 ปี เมื่อเทียบกับเงินปอนด์ ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ก่อแรงกดดันแก่ราคาน้ำมัน เนื่องจากมันทำให้น้ำมันมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ซื้อที่ถือสกุลเงินอื่นๆ
คาดหมายว่าธนาคารกลางยุโรปจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแรงระหว่างการประชุมในวันพฤหัสบดี (8 ก.ย.) ส่วนธนาคารกลางสหรัฐฯ มีกำหนดประชุมกันในวันที่ 21 กันยายน ขณะที่ธนาคารกลางแคนาดา ปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีในวันพุธ (7 ก.ย.) ซึ่งเป็นไปตามความคาดหมาย และบอกว่าอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปมากกว่านี้ เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
ความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจถดถอยและดอลลาร์ที่แข็งค่า ผลักนักลงทุนหันถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ และดันราคาทองคำในวันพุธ (7 ก.ย.) แตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 14.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,727.80 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพุธ (7 ก.ย.) ฟื้นตัวแรงจากการช้อนซื้อของนักลงทุน ตามหลังแรงเทขายในช่วงไม่นานที่ผ่านมา ในขณะที่นักลงทุนรอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนกระชับนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 435.98 จุด (1.40 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 31,581.28 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 71.68 จุด (1.83 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,979.87 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 246.99 จุด (2.14 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,791.90 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกเทขายออกมาอย่างหนักตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคม หลัง เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดส่งสัญญาณแข็งกร้าวเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ย สัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัวในยุโรปและจีน รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักๆ ทั้งหลายใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม ด้วยสัญญาณความเข้มแข็งในเศรษฐกิจสหรัฐฯ บรรดานักลงทุนจึงคาดหมายว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 075% ในการประชุมช่วงปลายเดือน
(ที่มา : รอยเตอร์)