ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร (6 ก.ย.) ต่อสายโทรศัพท์แสดงความยินดีกับ ลิซ ทรัสส์ นายกรัฐมตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักร และทั้งสองผู้นำสัญญากระชับความสัมพันธ์ เช่นเดียวกับยืนหยัดร่วมมือกันต่อต้านรัสเซีย
"ผมตั้งตาคอยกระชับความสัมพันธ์พิเศษระหว่างประเทศของเราให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และทำงานในความร่วมมือใกล้ชิด ในประเด็นท้าทายต่างๆ ของโลก ในนั้นรวมถึงเดินหน้าให้การสนับสนุนยูเครน ในขณะที่พวกเขากำลังปกป้องตนเองจากการถูกรัสเซียรุกราน" ไบเดนเขียนบนทวิตเตอร์
ผู้นำทั้ง 2 อาจได้พบปะเจอหน้ากันอย่างเร็วที่สุด ณ ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติในช่วงปลายเดือนนี้ หลังจาก ทรัสส์ คว้าชัยในศึกเลือกตั้งผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟเมื่อวันจันทร์ (5 ก.ย.) พร้อมกับก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน บอริส จอห์นสัน ในวันอังคาร (6 ก.ย.) การเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สหราชอาณาจักรกำลังเผชิญความท้าทายต่างๆ สาหัสสากรรจ์ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรระบุในถ้อยแถลงว่า ไบเดน และทรัสส์ หารือกันเกี่ยวกับการยกระดับความร่วมมือในนาโต้และข้อตกลงด้านความมั่นคง สหรัฐฯ-ออสเตรเลีย-สหราชอาณาจักร ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปีที่แล้ว เพื่อตอบโต้อิทธิพลของจีน โดย ทรัสส์ ตั้งตาคอยทำงานใกล้ชิดกับประธานาธิบดีไบเดน ในฐานะผู้นำแห่งประชาธิปไตยเสรี เพื่อจัดการความท้าทายร่วมต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเศรษฐกิจร้ายแรง อันมีต้นตอจากสงครามของปูติน
ถ้อยแถลงของทำเนียบขาวระบุว่า ผู้นำทั้ง 2 หารือกันเกี่ยวกับการเดินหน้าร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในวิกฤตความขัดแย้งยูเครน จัดการความท้าทายต่างๆ จากฝีมือจีน ขัดขวางอิหร่านจากการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และหนทางรับประกันความยั่งยืนของทรัพยากรพลังงาน
ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ยังคงเป็นไปอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องมานานหลายปี แม้เคยมีความไม่ลงรอยเกิดขึ้นบ้าง ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ณ ขณะนั้น และเทเรซา เมย์ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ในช่วงเวลาดังกล่าว
วอชิงตัน และลอนดอนเป็นแนวร่วมกันในความพยายามช่วยเหลือยูเครนที่กำลังทำสงครามกับรัสเซีย และในความพยายามตอบโต้อิทธิพลของจีนในแปซิฟืก อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงการค้าฉบับหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรบางส่วนหวังว่าจะช่วยชดเชยผลกระทบทางการค้าและเศรษฐกิจตามหลังถอนตัวจากอียู ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างภายใต้รัฐบาลของไบเดน
(ที่มา : รอยเตอร์)