ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ มิเชล บาเชเลต์ ระบุในรายงานซึ่งเผยแพร่ในคืนวันพุธ (31 ส.ค.) ไม่กี่นาทีก่อนที่จะสิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งของเธอ กล่าวหาว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงด้วยการจับกุมและกักขังหน่วงเหนี่ยวชาวอุยกูร์ และมุสลิมกลุ่มน้อยอื่นๆ ในภูมิภาคซินเจียง ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็น “อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ” อย่างไรก็ตาม ไม่มีการเรียกมันว่าเป็น “การล้างเผ่าพันธุ์” อย่างที่สหรัฐฯและกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มเรียกร้องผลักดัน ทางด้านปักกิ่งตอบโต้ทันควันว่า รายงานนี้เป็น “เครื่องมือทางการเมือง” อย่างหนึ่งตามยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกซึ่งต้องการควบคุมจีน
บาเชเลต์ อดีตประธานาธิบดีของชิลี ซึ่งถูกพวกกลุ่มสิทธิมนุษยชนและนักการทูตฝ่ายตะวันตกวิจารณ์มาโดยตลอดว่า “อ่อนข้อ” ให้จีนมากเกินไป ได้เผยแพร่รายงานดังกล่าวซึ่งสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกเรียกร้องกดดันมานาน ก่อนที่ตัวเธอเองจะสิ้นสุดวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปีเพียง 13 นาที
บาเชเลต์ ซึ่งเดินทางไปเยือนจีนด้วยเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ระบุในรายงานความยาว 48 หน้าฉบับนี้ว่า “มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นในซินเจียง” ภายใต้บริบทการบังคับใช้ยุทธศาสตร์ต่อต้านการก่อการร้ายและต่อต้านลัทธิสุดโต่งของรัฐบาลปักกิ่ง
“การกักขังหน่วงเหนี่ยวตามอำเภอใจที่จีนเลือกปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์และมุสลิมกลุ่มอื่นๆ อาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ” รายงานระบุ
บาเชเลต์ ยังแนะนำให้รัฐบาลจีนเร่งปล่อยตัวผู้ที่ถูกกักขังอยู่ตามศูนย์ฝึกอาชีพ เรือนจำ และค่ายกักกันต่างๆ ในทันที
“เราพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือว่ามีการละเมิดสิทธิการเจริญพันธุ์ผ่านการบังคับใช้นโยบายวางแผนครอบครัวตั้งแต่ปี 2017” รายงานระบุ พร้อมยอมรับว่าฐานข้อมูลจากภาครัฐมีค่อนข้างน้อย จึงทำให้ยากที่จะสรุปได้ว่า ระดับการบังคับใช้นโยบายและการล่วงละเมิดสิทธิในการเจริญพันธุ์ “รุนแรงถึงขั้นไหน”
ทั้งนี้ พวกกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายแห่งกล่าวหาจีนว่าละเมิดสิทธิของชาวอุยกูร์ ชาวมุสลิมกลุ่มน้อยที่มีประชากรราว 10 ล้านคนในภูมิภาคซินเจียง โดยเฉพาะการบังคับใช้แรงงานคนเหล่านี้ตามค่ายกักกันต่างๆ ขณะที่สหรัฐฯ ตราหน้าจีนว่ามีเจตนากระทำการล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) อย่างไรก็ดี รายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยูเอ็นฉบับนี้ ไม่ได้มีการใช้คำๆ นี้
ด้านคณะผู้แทนจีนที่นครเจนีวาออกมาวิจารณ์รายงานของ บาเชเลต์ ว่าเป็นเพียง “ละครตลก” ที่สหรัฐฯ ชาติตะวันตก และพวกที่ต่อต้านจีนคอยกำกับอยู่เบื้องหลัง โดยมีการนำเสนอข้อมูลบิดเบือนต่างๆ เพื่อตีขลุมว่าจีนเป็นผู้ร้าย
จาง จุน เอกอัครราชทูตจีนประจำยูเอ็น กล่าวก่อนที่จะมีการเผยแพร่รายงานชิ้นนี้ว่า ปักกิ่งเคยคัดค้านรายงานชิ้นนี้มาแล้วหลายหน และมองว่าข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนยูเอ็นไม่ควรจะก้าวก่ายกิจการภายในของจีน
“เราต่างทราบกันดีว่า ประเด็นเรื่องซินเจียงเป็นสิ่งที่ถูกกุขึ้นด้วยเหตุผลทางการเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อบั่นทอนเสถียรภาพและขัดขวางการพัฒนาของจีน” จาง ให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันพุธ (31) “เราไม่คิดว่ามันจะเป็นผลดีกับใคร แต่กลับยิ่งเป็นการบ่อนทำลายความร่วมมือระหว่างยูเอ็นกับรัฐสมาชิก”
ต่อมาในวันพฤหัสบดี (1 ก.ย.) ระหว่างการแถลงข่าวประจำวันตามปกติ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน หวัง เหวินปิน ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวโดยกล่าวว่า “รายงานที่อ้างว่าเป็นรายงานวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงที่คุณอ้างอิงถึงนั้น เป็นสิ่งที่วางแผนและผลิตขึ้นมากับมือโดยสหรัฐฯและพวกกลุ่มพลังตะวันตกบางกลุ่ม มันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายและทั้งหมดใช้การไม่ได้”
“รายงานนี้เป็นหม้อต้มจับฉ่ายของข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จทั้งหลาย และมันเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่งซึ่งถูกใช้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกในการใช้ซินเจียงมาควบคุมประเทศจีน” เขากล่าวต่อ
หวัง บอกอีกว่า สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยูเอ็น “ได้จมลึกลงไปกลายเป็นพวกนักเลงอันธพาลและผู้สมรู้ร่วมคิดของสหรัฐฯและฝ่ายตะวันตกในการตัดค้านบรรดาประเทศกำลังพัฒนาส่วนข้างมากอันไพศาลเสียแล้ว”
ทั้งนี้ จีนยังออกรายงานของตนเองที่มีความยาว 131 หน้าเพื่อตอบโต้กับรายงานฉบับนี้ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนยูเอ็น
ขณะที่ ดิลซัต ราซิต จากสภาอุยกูร์โลก กล่าวว่า รายงานของยูเอ็น “เป็นเครื่องยืนยันหลักฐานอันชัดเจนถึงความรุนแรงที่จีนกระทำต่อชาวอุยกูร์” แต่เขาหวังว่ายูเอ็นน่าจะทำมากกว่านี้
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)