ชาวอเมริกันเริ่มมีมุมมองแง่ลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น และมากกว่าช่วงเวลาไหนๆ นับตั้งแต่เผชิญวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 บ่งชี้ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ล้มเหลวในความพยายามโน้มน้าวใจบรรดาผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ว่าสถานการ์ต่างๆนั้นดีขึ้นแล้ว ภายใต้ความเป็นผู้นำของเขา จากผลสำรวจความคิดเห็นใหม่ที่เผยแพร่เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีชาวอเมริกาเพียงแค่ 12% ที่เชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศ "กำลังดีขึ้น" ผิดกับอีก 69% ที่มองว่าเศรษฐกิจ "กำลังเลวร้ายลง" จากข้อมูลของเอบีซีนิวส์/อิปซอส ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ (7 ส.ค.) แม้ผลสำรวจได้ให้น้ำหนักไปที่ชาวเดโมแครต แต่มีผู้ตอบแบบสอบถามเพียง 37% ที่แสดงความพึงพอใจต่อแนวทางบริหารจัดการเศรษฐกิจของไบเดน และมีเพียง 29% ที่พึงพอใจแนวทางของเขาในการจัดการกับเงินเฟ้อ ซึ่งพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี
ในขณะที่ศึกเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ เหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน ข้อเท็จจริงคือคะแนนนิยมของไบเดน ดำดิ่งในเกือบทุกๆ ด้าน ยกเว้นแนวทางจัดการกับโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ของเขา ประธานาธิบดีรายนี้พยายามโน้มน้าวให้อเมริกันชนเชื่อว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังฟื้นตัวบนเส้นทางที่ถูกต้อง และมีอยู่ครั้งหนึ่งถึงขั้นอวดอ้างอันเป็นเท็จว่า สหรัฐฯ มีเศรษฐกิจเติบโตร้อนแรงที่สุดในโลก แต่ทั้งชาวรีพับลิกันและเดโมแครตล้วนแต่มองความเป็นจริงต่างออกไป
เมื่อเดือนที่แล้ว รายงานฉบับหนึ่งถูกเผยแพร่ออกมา ยืนยันว่าเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งนี้ดำดิ่งสู่ภาวะถดถอยแล้ว หลังจีดีพีของสหรัฐฯ หดตัว 2 ไตรมาสติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ไบเดน และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในรัฐบาลของเขา ในนั้นรวมถึง เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลัง ตอบโต้ด้วยความพยายามให้คำจำกัดความใหม่ของภาวะถดถอย
ในศึกเดิมพันเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาสหรัฐฯ ผลสำรวจความคิดเห็นของเอบีซีนิวส์/อิปซอส พบว่าผู้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งไว้ใจรีพับลิกันมากกว่าเดโมแครต ในแง่ของการบริหารจัดการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ด้วยคะแนน 34%-25% และ 33%-23% ตามลำดับ นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังได้รับความไว้ใจมากกว่าในเรื่องของการจัดการราคาเบนซิน (33%-24%) ภาษี (31%-25%) อาชญากรรม (32%-21%) และคนเข้าเมือง (37%-26%)
ส่วนเดโมแครตได้รับความไว้วางใจมากกว่าในด้านบริหารจัดการโควิด-19 (36%-20%) ภาวะโลกร้อน (37%-19%) ความรุนแรงจากอาวุธปืน (34%-29%) และทำแท้ง (38%-26%)
ผลสำรวจความคิดเห็นยังพบด้วยว่าชาวอเมริกันชนเชื่อมั่นรีพับลิกันมากกว่าในการจัดการวิกฤตความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ด้วยคะแนนฉิวเฉียด 26% ต่อ 25% และมีเพียง 43% ที่พอใจแนวทางบริการจัดการวิกฤตยุโรปตะวันออกของไบเดน ลดลงจากระดับ 48% ของเมื่อเดือนมีนาคม
ไบเดนกล่าวโทษวิกฤตยูเครนว่าเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขากล่าวโทษประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ต่อราคาเชื้อเพลิงที่พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นหนึ่งของสำนักโพล Rasmussen ที่เผยแพร่ในเดือนมิถุนายน พบว่า มีชาวอเมริกันชนแค่ 11% ที่เชื่อว่า ปูติน เป็นต้นตอของราคาที่พุ่งสูง จากนั้นคะแนนิยมของไบเดนก็ดำดิ่งแตะระดับ 38% ในเดือนกรกฎาคม ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีคะแนนนิยมหลังผ่านการดำรงตำแหน่งมาแล้วเกือบครึ่งสมัย น้อยที่สุดคนหนึ่ง
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์)