เอเจนซีส์ - นักวิทยาศาสตร์ต่างชี้การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศทำให้เกิดภัยธรรมชาติรุนแรง ฝนตกหนักต้นสัปดาห์จนเกิดน้ำท่วมฉับพลันทางตะวันออกของรัฐเคนตักกี ล่าสุดวันเสาร์(30 ก.ค)ยอดเสียชีวิตเพิ่ม 25 คนและสูญหายอีกหลายสิบ ขณะที่อุณหภูมิโลกสูงขึ้นส่งผลทำให้กรีนแลนด์ใกล้ขั้วโลกเหนือเกิดน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำถึง 18 พันล้านตันระหว่างวันที่ 15 ก.ค – 17 ก.ค ที่ผ่านมา และยังเดินหน้าละลายต่อ
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวานนี้(30 ก.ค)ว่า ผู้ว่าการรัฐเคนตักกี แอนดี บีเชียร์ (Andy Beshear) กล่าววันเสาร์(30)ว่า เขาเชื่อว่าจำนวนยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมฉับพลันจะเพิ่มขึ้น และเปิดเผยว่าทั้งบ้านเรือนประชาชนและธุรกิจร้านค้าหลายร้อยถูกน้ำท่วมสูงเวลานี้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ที่กลับมาป่วยโควิด-19อีกครั้งได้ออกประกาศคำสั่งภัยพิบัติครั้งใหญ่เพื่อปลดล็อกให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯเข้าให้ความช่วยเหลือ
โดยตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุดเพิ่มมาเป็น 25 รายและมีผู้สูญหายอีกหลายสิบคน บีบีซีชี้ว่า ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีเด็กรวมอยู่ด้วย 6 คนและหนึ่งในนั้นมีอายุต่ำสุด 1 ขวบ
เดอะการ์เดียนรายงานว่า น้ำท่วมฉับพลันครั้งร้ายแรงเกิดทางตะวันออกของรัฐเคนตักกีหลังต้นสัปดาห์เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักในเมืองเซนต์หลุยส์ (St Louis) ของรัฐมิสซูรี ที่เห็นฝนตกหนักร่วม 1 ฟุตทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 คนเกิดการติดขัดทั้งถนนหนทางและในพื้นที่ชุมชน
บีบีซีรายงานว่า ผู้ประสบภัยจำนวนหลายร้อยคนได้รับการช่วยเหลืออพยพออกมาทั้งทางเฮลิคอปเตอร์หรือทางเรือ ซึ่งในเวลานี้มีประชาชนเป็นวงกว้างไม่ต่ำกว่า 33,000 คนต้องอยู่โดยไม่มีไฟฟ้าใช้ ซึ่งน้ำท่วมฉับพลันหลังฝนตกหนักส่งผลทำให้เกิดโคลนถล่มและทำให้ถนนไม่สามารถสัญจรได้
ภูมิภาคเทือกเขาแอปพาเลเชียน(Appalachian Mountains)แห่งนี้เคยเกิดน้ำท่วมฉับพลันมาก่อนแต่ไม่ร้ายแรงเท่าที่กำลังประสบอยู่ในเวลานี้ ผู้ว่าการรัฐเคนตักกีกล่าว
“ประชาชนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ คนที่เคยทำมาตลอด 20 ปีไม่เคยเห็นน้ำท่วมที่สูงระดับนี้มาก่อน” บีเชียร์แถลง
ภาพข่าวจากรอยเตอร์แสดงให้เห็นน้ำท่วมสูงครึ่งคันรถที่กำลังจอดอยู่ บีบีซีรายงานว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ต่างกล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศโลกทำให้เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติครั้งร้ายแรง เช่นน้ำท่วมรัฐเคนตักกี ซึ่งในวันศุกร์(29) โลกโซเชียลมีเดียสหรัฐฯต่างออกมากล่าวว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยหรือช่วยกระพรือทำให้วิกฤตน้ำท่วมรัฐเคนตักกีมีความร้ายแรง
นิวสวีครายงานว่า หนึ่งในนั้นที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศโลกที่มีผลกระทบต่อวิกฤตภัยพิบัติน้ำท่วม คือ เบอร์นีซ คิง ( Bernice King) บุตรสาวคนเล็กของผู้นำผิวสีต่อการเปลี่ยนแปลงทางสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ สาธุคุณ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ที่ส่งใจไปยังเหยื่อผู้ประสบภัย
การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศโลกยังกระทบลามไปถึงเกาะกรีนแลนด์ ดินแดนอาณานิคมเดนมาร์กที่อยู่ติดขั้วโลกเหนือ สื่อกิซโมโด( Gizmodo) รายงานก่อนหน้าวันอังคาร(26)ว่า ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดจากโครงการสำรวจโลกโคเปอร์นิคัส(Copernicus Earth observation program) ของสหภาพยุโรปแสดงให้เห็นว่า น้ำแข็งส่วนใหญ่ของเกาะกรีนแลนด์กำลังละลาย
สายธารสีฟ้าเทอร์คอยซ์สดที่อาจดูสวยจากภาพดาวเทียมแต่ความเป็นจริงแล้วเป็นสัญลักษณ์ของการละลายอย่างรวดเร็วของน้ำแข็ง
กิซโมโดรายงานว่า เมื่อไม่กี่วันช่วงต้นเดือนกรกฎาคมพบว่ากรีนแลนด์ที่มีสภาพอากาศหนาวขั้วโลกกลับมีอุณหภูมิที่สูง ในหลายส่วนของพื้นที่มีอุณหภูมิสูงถึง 15.5 องศาเซลเซียส สูงกว่าอุณหภูมิปกติโดยเฉลี่ยของเดือนกรกฎาคมถึง 10 องศาอ้างอิงจาก CNN สื่อสหรัฐฯ
และจากการเกิดอุณหภูมิสูงผิดปกติส่งผลทำให้เกิดหิมะตกเป็นวงกว้างและน้ำแข็งละลายไปทั่วแผ่นน้ำแข็งของกรีนแลนด์ โดยภายในแค่เวลา 3 วันระหว่างวันที่ 15 ก.ค - วันที่ 17 ก.ค พบว่าเกิดน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำราว 18 พันล้านตัน
การละลายยังไม่หยุดเพราะน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำอีกราว 8 พันล้านตันถึง 10 พันล้านตันต่อวันระหว่างวันที่ 20 ก.ค – วันที่ 23 ก.ค อ้างอิงจากความเห็นผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยาน้ำแข็งและธารน้ำแข็ง เท็ด สแคมบอส (Ted Scambos) จากมหาวิทยาลัยโคโลราโดที่เปิดเผยทางอีเมลต่อกิซโมโด
ภาพถ่ายดาวเทียมโคเปอร์นิคัสชี้ว่า วันที่ 22 ก.ค ถือเป็นวันที่มีการละลายน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามยังเป็นที่น่ายินดีเพราะสื่อกิซโมโดชี้ว่า ตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมาช่วงสูงสุดของการละลายน้ำแข็งบนเกาะกรีนแลนด์ตกลง