องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้ “ฝีดาษลิง” (monkeypox) เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดในสัปดาห์นี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วมากกว่า 18,000 คนใน 78 ประเทศ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าโลกกำลังเลยจุดที่จะสามารถควบคุมฝีดาษลิงเอาไว้ได้ และมีแนวโน้มที่โรคนี้อาจจะแพร่ระบาดต่อไปอีกเป็นเวลาหลายเดือน
ทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้การแพร่ระบาดของฝีดาษลิงเป็น “ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” เมื่อวันเสาร์ที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่าคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ที่จัดประชุมกัน 2 วันก่อนหน้านั้นไม่สามารถบรรลุมติเอกฉันท์ จึงกลายเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องตัดสินใจประกาศเตือนความเสี่ยงขั้นสูงสุด
“WHO ประเมินว่าความเสี่ยงของโรคฝีดาษลิงยังอยู่ในระดับปานกลาง (moderate) ทั่วโลกและทุกภูมิภาค ยกเว้นยุโรปที่จัดว่ามีความเสี่ยงสูง” ทีโดรส ระบุ
ฝีดาษลิงเป็นโรคประจำถิ่นในแถบแอฟริกากลางและตะวันตก และถูกละเลยมานานหลายสิบปี จนกระทั่งเริ่มมีการพบผู้ติดเชื้อนอกภูมิภาคเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค. โดย 98% ของผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีเพศสัมพันธ์กัน และเคยมีประวัติไปท่องเที่ยวสถานบันเทิงทางเพศ เช่น ปาร์ตี้เซ็กซ์ หรือห้องเซาน่า ในช่วงประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะป่วย
ทีโดรส ระบุเมื่อวันเสาร์ (23) ว่า การระบาดของโรคยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มชายรักชาย โดยเฉพาะผู้ที่นิยมเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะยับยั้งการแพร่กระจายของไวรัส “หากมีการใช้ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย”
ผอ. WHO ยังเรียกร้องให้ทุกประเทศทำงานอย่างใกล้ชิดกับประชาคมชายรักชาย เพื่อช่วยให้คนกลุ่มนี้ได้รับข้อมูลและบริการที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงนำมาตรการป้องกันที่ได้ผลจริงมาใช้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ โดยหลีกเลี่ยงการสร้าง “ตราบาป” ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยปฏิเสธการรักษา และทำให้การติดตามสอบสวนโรคนั้นยากขึ้น
ฝีดาษลิงเกิดจากการติดเชื้อไวรัสในตระกูลเดียวกับฝีดาษคน หรือไข้ทรพิษ (smallpox) โดยพบครั้งแรกในมนุษย์เมื่อปี 1970 อาการของโรคจัดว่ามีความรุนแรงน้อยกว่าและแพร่ระบาดได้ยากกว่าไข้ทรพิษ ซึ่งถูกกำจัดหมดสิ้นไปจากโลกแล้วในปี 1980
งานวิจัยซึ่งเผยแพร่ทางวารสาร New England Journal of Medicine ซึ่งได้จากการศึกษากลุ่มผู้ป่วย 528 คนใน 16 ประเทศและถือเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับฝีดาษลิงที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา พบว่า 95% ของการแพร่เชื้อเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กัน
อาการในช่วงแรกๆ ของผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงคือมีไข้และอ่อนเพลีย จากนั้นจะมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่างกาย ก่อนที่ผื่นนั้นจะบวมกลายเป็นตุ่มน้ำใสและตุ่มหนอง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด ระยะนี้จะคงอยู่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนที่แผลจะตกสะเก็ดและหลุดลอกไป
เมื่อวันจันทร์ (25) สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักรได้ประกาศเพิ่มอาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงให้ครอบคลุมถึงบาดแผลบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนัก และอาการเจ็บปวด และมีเลือดออกบริเวณรูทวารหนักด้วย
อย่างไรก็ดี อาการของผู้ป่วยฝีดาษลิงแต่ละคนรุนแรงมากน้อยแตกต่างกัน และมักจะแสดงอาการอยู่ระหว่าง 2-4 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะยังคงแพร่เชื้อสู่บุคคลอื่นได้ จนกว่าตุ่มแผลตามร่างกายจะหายสนิท
ข้อมูลจาก WHO ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้ป่วยฝีดาษลิงแค่ราวๆ 10% ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตจากการระบาดครั้งนี้แล้ว 5 ราย โดยทั้งหมดเป็นผู้ป่วยในทวีปแอฟริกา
ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ค่อนข้างยาก เนื่องจากอาการของโรคมีความคล้ายคลึงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ซึ่งการตรวจนั้นอาจจะต้องใช้วิธี PCR Test หรือนำตัวอย่างจากแผลพุพองที่ผิวหนังไปตรวจโดยละเอียดจึงจะทราบ
ยุโรปถือเป็นจุดศูนย์กลางการระบาดของฝีดาษลิงในขณะนี้ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มอายุน้อยที่อาศัยอยู่ในเมือง ตามข้อมูลจาก WHO
Bavarian Nordic บริษัทยาของเดนมาร์กซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีน Imvanex ที่ใช้ป้องกันไข้ทรพิษ แถลงเมื่อวันจันทร์ (25) ว่า คณะกรรมาธิการยุโรปได้อนุมัติให้มีการนำวัคซีน Imvanex มาฉีดป้องกันฝีดาษลิงให้กลุ่มเสี่ยง หลังจากที่ WHO ได้ประกาศให้โรคนี้เป็นภัยฉุกเฉินด้านสาธารณสุขสากล
“คณะกรรมาธิการยุโรปได้ขยายการอนุญาตทำการตลาดสำหรับวัคซีน Imvanex ให้ครอบคลุมถึงการป้องกันโรคฝีดาษลิงด้วย โดยการอนุมัตินี้จะมีผลครอบคลุมทั้งในกลุ่มประเทศสมาชิกอียู รวมไปถึงไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ และนอร์เวย์”
วัคซีนตัวนี้ผ่านการอนุมัติใช้งานในอียูตั้งแต่ปี 2013 และพบว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันฝีดาษลิงได้ถึง 85% เนื่องจากไวรัสทั้ง 2 ชนิดมีความคล้ายคลึงกัน
กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ปรึกษาของ WHO ได้ออกมาเตือนว่ากรอบเวลาที่ทั่วโลกจะสามารถหยุดยั้งการระบาดของฝีดาษลิง “ใกล้หมดลงแล้ว” และตัวเลขผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเท่าตัวในทุกๆ 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้มีความกังวลว่าโรคนี้อาจระบาดต่อเนื่องไปอีกหลายเดือนกว่าจะถึง “จุดพีก”
สำนักงาน WHO ประจำภูมิภาคยุโรปคาดการณ์ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อฝีดาษลิงจะพุ่งเกิน 27,000 คนใน 88 ประเทศ ภายในวันที่ 2 ส.ค.นี้
“เราจำเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้” แอนน์ รีมอยน์ อาจารย์ด้านระบาดวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านฝีดาษลิงของ WHO ระบุ
“เห็นได้ชัดว่าหน้าต่างแห่งโอกาส (ที่จะยับยั้งการแพร่เชื้อ) ใกล้จะปิดลงแล้ว”
ขณะเดียวกัน มาร์ค ไรอัน ผู้อำนวยการฝ่ายสถานการณ์ฉุกเฉินของ WHO ยืนยันว่าทางองค์กรอยู่ระหว่างพิจารณาเปลี่ยนชื่อโรค “ฝีดาษลิง” เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างตราบาปแก่กลุ่มเชื้อชาติ ขณะที่ แอชวิน วาซาน กรรมาธิการด้านสาธารณสุขของนครนิวยอร์กซึ่งพบผู้ป่วยฝีดาษลิงแล้วไม่ต่ำกว่า 1,092 ราย ก็ประกาศสนับสนุนแนวคิดนี้ โดยชี้ว่าคำศัพท์บางคำ (เช่น ฝีดาษลิง) แฝงความหมายเกี่ยวกับการเหยียดผิว และมักถูกนำไปเชื่อมโยงกับชุมชนคนผิวสี ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอายจนปฏิเสธการรักษา
WHO แนะนำให้ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มชายรักชาย และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขด่านหน้า เข้ารับวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง โดยย้ำว่าต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์หลังรับวัคซีนเข็มที่ 2 กว่าการป้องกันจะได้ผลอย่างเต็มที่ ซึ่งระหว่างนั้นผู้ที่รับวัคซีนยังคงต้องระมัดระวังตนเองอย่างเข้มงวด