เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - อังกฤษคาดว่าจะมีอุณหภูมิสูง 42 องศาเซลเซียสวันนี้ (19 ก.ค.) หลังสเปนโดนฮีตเวฟไปเต็มๆ วานนี้ (18 ก.ค.) ที่ 43 องศาเซลเซียส ส่วนเมืองน็องต์ของฝรั่งเศสอยู่ที่ 42 องศาเซลเซียส ทั้งพัดลม แอร์ และสายยางรดต้นไม้ขายดีทั่วทั้งเกาะอังกฤษ ส่วนที่ไอร์แลนด์วันจันทร์ (18 ก.ค.) ทำลายสถิติความร้อนในรอบ 135 ปีที่ 33.3 องศาเซลเซียส มีการคาดว่าคลื่นความร้อนยุโรปกำลังเดินหน้าขึ้นเหนือและไปทางตะวันออกของยุโรป
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานวันนี้ (19 ก.ค.) ว่า มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 4 คน เชื่อว่าเสียชีวิตจากการจมน้ำในอังกฤษหลังพยายามที่จะหลบคลื่นความร้อนที่กำลังเล่นงานทั่วทั้งเกาะและยุโรปอยู่ในเวลานี้ ระบบรถไฟอังกฤษออกคำเตือนเหล่าผู้โดยสารไม่ให้เดินทางสัญจรเข้าไปในเขตโซนสีแดงตามคำประกาศเตือนของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาอังกฤษ MET เนื่องมาจากทางบริษัทผู้ให้บริการรถไฟปิดเส้นทางการเดินรถในสายเหล่านั้นเพื่อความปลอดภัย
คำเตือนความรุนแรงทางสภาพอากาศที่บ่งชี้ว่าเป็นอันตรายต่อชีวิตนั้นครอบคลุมตั้งแต่กรุงลอนดอนไปจนถึงยอร์ก และแมนเชสเตอร์
ซึ่งภายในเวลา 16.00 น.ของวันจันทร์ (19) พบว่าที่ลิงคอล์น (Lincoln) เคมบริดจ์ (Cambridge) และฮังติงดอน (Huntingdon) เห็นตัวเลขที่ 40 องศาเซลเซียส
บริษัทการเดินรถไฟอังกฤษได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสภาพอากาศร้อนจัดเมื่อค่ำวานนี้ (19) ทั้งรางโค้ง และระบบเครือข่ายสายไฟด้านบนเกิดการขัดข้อง รวมไปถึงมีรายงานว่าอุณหภูมิรางรถไฟแตะ 62 องศาเซลเซียสที่ซัฟฟอล์ก (Suffolk)
ทั้งนี้ รัฐมนตรีคมนาคมอังกฤษ Grant Shapps ออกมายอมรับว่า ระบบรางรถไฟในอังกฤษยังไม่สามารถทำงานได้ภายใต้สภาพอากาศร้อนจัด และเสริมต่อว่า มันต้องใช้เวลาหลายปีที่จะสามารถทำการปรับปรุงเพื่อให้ยังสามารถให้บริการได้ในสภาพอุณหภูมิสูงขึ้น
ในตอนหนึ่งของการให้สัมภาษณ์กับรายการคุยข่าวยามเช้า BBC Breakfast แชปป์ส กล่าวว่า “ในสภาพความร้อน 40 องศาเซลเซียส รางรถไฟสามารถมีอุณหภูมิสูงได้ถึง 50 องศาเซลเซียส 60 องศาเซลเซียส และแม้กระทั่ง 70 องศาเซลเซียส และจะเป็นอันตรายที่ร้ายแรงต่อรางโค้งและการตกรางที่เลวร้าย”
และเสริมต่อว่า “พวกเรากำลังเริ่มพัฒนาสิ่งใหม่ สร้างระบบเครือข่ายสายไฟฟ้าเหนือศีรษะที่สามารถทนได้ในสภาพอุณหภูมิสูงมากขึ้น แต่ที่ดีสุดในโลกคือระบบโครงสร้างพื้นฐานนี้ต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีในการสร้าง ที่มีบางส่วนของระบบรางย้อนไปไกลร่วม 200 ปี”
ในวันจันทร์ (18) ยังพบว่ามีโรงเรียนจำนวนหนึ่งปิดลงถึงแม้ทางรัฐบาลลอนดอนจะไม่เห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม มีสมาพันธ์ครูแห่งหนึ่งออกมาเปิดเผยว่า โรงเรียนส่วนใหญ่ยังคงเปิดตามปกติ
เดอะเดลีเทเลกราฟรายงานเพิ่มเติมว่า ผลจากฮีตเวฟส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ดับจากการจมน้ำ และหน่วยงานฉุกเฉินอังกฤษออกคำเตือนประชาชนให้ออกห่างจากทะเลสาบ แม่น้ำ หรืออ่างเก็บน้ำที่เป็นอันตรายหลังพบส่วนหนึ่งในผู้เสียชีวิตเป็นเด็กวัยรุ่นอายุแค่ 13 ปี ที่เสียชีวิตจากการจมน้ำในแม่น้ำที่โอวิงแฮม (Ovingham) ในนอร์ธัมเบอร์แลนด์ (Northumberland)
คลื่นฮีตเวฟยังทำให้ประชาชนชาวอังกฤษต่างแห่ออกไปซื้อพัดลม สายยางรดต้นไม้ และเครื่องปรับอากาศอย่างคึกคัก
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (18) ว่า ซุเปอร์มาร์เกตเซนส์บิวรี (Sainsbury) ที่เป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 2 และยังเป็นเจ้าของร้านอาร์กอส (Argos) จำหน่ายของใช้ในบ้านทั่วไปรายงานว่า ยอดขายพัดลมขึ้นสูง 1,876% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ยอดจำหน่ายเครื่องปรับอากาศเพิ่ม 2,420% และสระว่ายน้ำแบบสูบลมเพิ่ม 814%
และในวันเดียวกัน (18) ห้างออนไลน์แอมะซอนของอังกฤษรายงานว่า สินค้าท็อปฮิต 10 จาก 15 สำหรับแผนกบ้านและครัวคือพัดลมที่ขายดี และนอกจากนี้ ยังมีถาดน้ำแข็ง และเจลความเย็นที่สามารถใส่ในหมอนได้
ส่วนห้างสรรพสินค้าชื่อดัง จอห์น ลูว์อิส (John Lewis) แถลงว่าพัดลมและเครื่องปรับอากาศทำยอดขาย 709% เมื่อเทียบปีต่อปี
ร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้างชื่อดังในอังกฤษ ทราวิส เพอร์กินส์ (Travis Perkins') ยอมรับว่า ยอดขายพัดลมเพิ่มพรวด 641% จากสัปดาห์ก่อน และยอดขายอุปกรณ์เครื่องควบคุมอุณหภูมิที่ใช้สมาร์ทเทคโนโลยีเพิ่ม 95% ส่วนสายยางรดน้ำเพิ่ม 56% และฝักบัวรดต้นไม้ 21%
เดอะมิเรอร์รายงานว่า วิกฤตความร้อนฮีตเวฟยังส่งผลทำให้ใบหน้าของสาวอังกฤษรายหนึ่งแดงก่ำ และบวมหนักถึง 2 เท่าของใบหน้าปกติ
โดยใน TikTok ที่มียอดวิวเวอร์กว่า 700,000 อีวา โจนส์ (Eva Jones) เปิดเผยว่า ใบหน้าที่โดนแดดเผาอย่างหนักจนถึงขั้นบวมเป่งนี้เป็นผลมาจากเธอนั่งอยู่นอกบ้านนาน 1 ชั่วโมงเท่านั้น
วิกฤตฮีตเวฟยังส่งผลกระทบไปถึงไอร์แลนด์ โดยหนังสือพิมพ์ไอริชไทม์สรายงานว่า ในวันจันทร์ (18) ไอร์แลนด์มีอุณหภูมิสูงสุดทำลายสถิติในรอบ 135 ปี โดยสถานีอากาศที่ Trim รายงานว่า ที่ Co Meath เห็นอุณหภูมิแตะ 33.4 องศาเซลเซียสเมื่อเวลา 13.06 น.ของวานนี้ (18) ซึ่งหากมีการยืนยันจะทำลายสถิติที่เคยจดบันทึกไว้เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ปี 1887 ที่วัดได้ราว 33.3 องศาเซลเซียสในปราสาทคิลเคนนีย์ (Kilkenny Castle)
บีบีซีรายงานว่า ทั้งนี้วิกฤตคลื่นความร้อนนี้มีทิศทางที่จะเคลื่อนตัวไปทางเหนือและทางตะวันออกของยุโรปหลังจากนี้ โดยฮีตเวฟที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากขึ้นเป็นผลมาจากฝีมือมนุษย์ในการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศโลก ซึ่งนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมาโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 1.1 องศาเซลเซียส