xs
xsm
sm
md
lg

‘ชินโซ อาเบะ’ กับแนวทางชาตินิยมสุดขั้วและแก๊งยากูซ่า : อีกแง่มุมหนึ่งของนายกฯ ผู้ครองอำนาจได้ยาวนานที่สุดของญี่ปุ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เจค อะเดลสไตน์ ***


อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น กล่าวปราศรัยช่วยพรรคเสรีประชาธิปไตยหาเสียง ก่อนที่จะถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองนารา ทางภาคตะวันตกของญี่ปุ่น ในวันที่ 8 ก.ค. 2022  (ภาพนี้รอยเตอร์ได้จากหนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุง)
Shinzo Abe Was ‘Trump Before Trump’—Except He Pulled It Off
By Jake Adelstein
08/07/2022

มรดกแห่งความเป็นเผด็จการรวบอำนาจของชินโซ อาเบะ น่าจะอยู่ยืนยงต่อไปอีกหลายทศวรรษ เป็นมรดกที่เขาสร้างขึ้นมาในวิถีทางซึ่งทำให้เขาได้รับการกล่าวขานว่า คือ “ทรัมป์” ที่ปรากฏขึ้นมาก่อน “โดนัลด์ ทรัมป์” เสียอีก

อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ของญี่ปุ่น ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันศุกร์ (8 ก.ค.) ที่ผ่านมา ในฉากเหตุการณ์ซึ่งชวนให้ระลึกถึงภาพยนตร์เกี่ยวกับแก๊งยากูซ่าที่เขาชื่นชอบโปรดปราน โดยที่เขาถูกยิงล้มคว่ำในท่ามกลางผู้คนจำนวนมากรายล้อม ด้วยฝีมือของมือปืนผู้กระทำการเพียงลำพังคนเดียวและดูไม่ได้แม้กระทั่งพยายายามที่จะหลบหนีด้วยซ้ำภายหลังก่อเหตุแล้ว
(ความชื่นชอบในภาพยนตร์เกี่ยวกับแก๊งยากูซ่าของอาเบะ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://eiga.com/news/20100419/9/)
(รายงานข่าวการลอบสังหารอาเบะ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/shinzo-abe-reportedly-shot-in-the-chest-on-nara-street-during-speech-and-rushed-to-hospital?ref=home)

ญี่ปุ่นตกอยู่ในภาวะช็อกกันทั่วประเทศเมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของเขาจากรายงานข่าวของเอ็นเอชเค ที่เป็นบรรษัทแพร่ภาพและกระจายเสียงของรัฐ มีคนจำนวนมากที่วาดหวังว่าเขาอาจจะสามารถประคับประคองผ่านพ้นช่วงเวลาวิกฤตอย่างยิ่งนี้ไปได้ ในเมืองนารา ผู้ที่ผ่านไปมาเริ่มนำดอกไม้มาวางตรงจุดที่เขาถูกยิงสังหาร บางคนสวดมนตร์ขอให้เขาเดินทางอย่างปลอดภัยในเส้นทางผ่านโลกวิญญาณไปสู่ชาติภพต่อไปของเขา

เมื่อ 15 ปีที่แล้วก่อนเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งนี้ ชินโซ อาเบะ ก็เคยถูกมองว่าอนาคตทางการเมืองจบสิ้นปิดฉาก ตอนที่เขาประกาศลาออกจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรกของเขา ในเวลานั้นเขาแลดูเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง กลายเป็นคนที่ใครๆ ก็ไม่ชอบ และไม่สามารถทนรับคลื่นสึนามิของกรณีอื้อฉาวเรื่องแล้วเรื่องเล่าซึ่งซัดกระหน่ำใส่คณะรัฐมนตรีของเขา แต่พอถึงปี 2012 เขาก็หวนกลับออกมาจากสุสานแห่งบรรดานายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ล้มเหลว เพื่อปกครองประเทศอีกครั้งเป็นเวลาเกือบๆ 8 ปี
(ตัวอย่างของกรณีอื้อฉาวที่อาเบะต้องเผชิญในเวลานั้น ดูได้ที่ https://www.thedailybeast.com/is-japans-top-politician-behind-a-shameful-rape-cover-up)

ตอนที่ข่าวแพร่ออกมาว่า เขาถูกยิงใส่ 2 นัดและได้รับบาดเจ็บอาการสาหัสถึงขั้นเป็นตาย พวกผู้สนับสนุนของเขาจึงมีความวาดหวังกันว่า เขาอาจจะสามารถสร้างความมหัศจรรย์ขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง –คราวนี้เป็นการฟื้นคืนชีพขึ้นมาในทางร่างกาย

ปาฏิหาริย์ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้น แต่กระนั้น บุรุษผู้ซึ่งที่ปรึกษาคนดังของโดนัลด์ ทรัมป์ นั่นคือ สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) เคยให้การยกย่องด้วยคำพูดที่มีชื่อเสียงว่า เขาคือ “ทรัมป์” ที่ปรากฏขึ้นมาก่อน “โดนัลด์ ทรัมป์” เสียอีก (“Trump before Trump”) ก็ได้ทิ้งมรดกเอาไว้เบื้องหลังที่อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่นไปตลอดกาล นั่นคือ เขาได้ทำให้ระบบการเมืองของแดนอาทิตย์อุทัยกลายเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบพรรคเดียวไปอย่างไปต่อเนื่องยาวนาน และดูไม่น่าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพเช่นนี้
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/not-so-fast-shinzo-abe-trumps-tricky-bromance-with-japans-pm)

อาเบะดูเหมือนจะใช้คู่มือแผนการเล่น (playbook) ที่คล้ายคลึงกับของ โดนัลด์ ทรัมป์ จริงๆ เสียด้วย เขาเป็นนักประชานิยมซึ่งต่อท่อใช้ประโยชน์จากลัทธิเหยียดเชื้อชาติ ตลอดจนความหวาดกลัวการเปลี่ยนแปลง มาเป็นเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงฐานทางการเมืองเขา และผนึกรวบรวมอำนาจให้อยู่ในกำมือของเขา

ระหว่างเวลาที่เขาตกลงมาจากอำนาจ อาเบะและพวกสมาชิกในคณะรัฐมนตรีวงในของเขาได้ผูกพันเป็นพันธมิตรกับกลุ่มต่อต้านคนเกาหลี ตลอดจนพวกเกลียดกลัวคนต่างชาติอื่นๆ อาเบะตีฆ้องร้องป่าวถ้อยคำเร้าความรู้สึกให้ต่อต้านชาวเกาหลี เพื่อหนุนส่งแรงสนับสนุนในตัวเขา โดยที่ทำให้แน่ใจว่าพวกพันธมิตรของเขาคือผู้ที่ออกหน้าทำงานสกปรกต่างๆ ในการนี้ แต่เวลาเดียวกันนั้นเขายังสามารถรักษามือของตนเองให้สะอาดสะอ้านเอาไว้ได้ ขณะที่ ทรัมป์วาดภาพให้เห็นไปว่าพวกผู้อพยพคือภูตผีหลอกหลอนที่กำลังคุกคามอเมริกา อาเบะพึ่งพาอาศัยอารมณ์ความรู้สึกอันฝังรากลึกในรื่องการต่อต้านชาวเกาหลี โดยมุ่งเล่นงานทั้งชาวเกาหลีที่พำนักตั้งถิ่นฐานอยู่ในญี่ปุ่นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และทั้งพลเมืองของเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ซึ่งต่างเคยเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่น เขาแต่งตั้ง เอริโกะ ยามาตานิ (Eriko Yamatani) สตรีผู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มไซโตกุ-ไค (Zaitoku-Kai) ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้านชาวเกาหลีอย่างชนิดดุเดือดรุนแรง ให้มาเป็นประธานของคณะกรรมการความปลอดภัยสาธารณะแห่งชาติ (National Public Safety Commission) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (National Police Agency)
(รัฐบาลอาเบะมีความผูกพันใกล้ชิดกับพวกต่อต้านชาวเกาหลี ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/japan-shinzo-abes-government-has-a-thing-about-hitler-it-likes-him)
(เกี่ยวกับ เอริโกะ ยามาตานิ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.japantimes.co.jp/tag/eriko-yamatani/)

อาเบะยังให้การต้อนรับสนับสนุนกลุ่มนิปปอน ไกงิ (Nippon Kaigi) กลุ่มลัทธิพิธีในศาสนาชินโตสายอนุรักษนิยม และก็เป็นกลุ่มล็อบบี้ทางการเมืองด้วย ถ้าหากจะลองเทียบดูกับในสหรัฐฯ แล้ว คุณสามารถเปรียบเทียบการที่ อาเบะ จับมือเป็นพันธมิตรกับกลุ่มนี้ได้อย่างเหมาะเหม็งว่า เหมือนกับการที่ ทรัมป์ ดูดกลืน กลุ่มที ปาร์ตี้ (The Tea Party) และพวกส่วนประกอบขวาจัดอื่นๆ ของพรรครีพับลิกันนั่นเอง
(ดูเพิ่มเติมเรื่องกลุ่มนิปปอน ไคงิ ได้ที่ https://www.thedailybeast.com/the-religious-cult-secretly-running-japan)

แม้กระทั่งตอนที่หลุดออกจากการครองอำนาจปกครองประเทศ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party หรือ LDP) ซึ่งมี อาเบะ ค่อยๆ แผ่อิทธิพลบารมีอยู่ ก็ได้พัฒนาแผนการต่างๆ เพื่อร่าง “รัฐธรรมนูญแห่งจักรพรรดิเพื่อญี่ปุ่น” (Imperial Constitution for Japan) ฉบับใหม่ขึ้นมา เจตนาก็คือการโยนทิ้งรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้กันมาโดยตลอดตั้งแต่หลังสงคราม ซึ่งร่างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของฝ่ายอเมริกันที่ยึดครองญี่ปุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง (รัฐธรรมนูญนี้ไม่ใช่ร่างขึ้นโดยอเมริกันผู้ยึดครอง อย่างที่เวลานี้มีบางคนบางฝ่ายกล่าวอ้าง)

ระหว่างที่ตัวเขาพ้นออกมาจากอำนาจทางการเมือง อาเบะกระทั่งได้เข้าไปเป็นประธานของกลุ่มนิฮอน โซเซะ (Nihon Sosei แปลกันในภาษาอังกฤษว่า Create Japan สร้างสรรค์ญี่ปุ่น) อยู่ระยะหนึ่งด้วยซ้ำ องค์การคลังสมองซึ่งมีแนวความคิดสุดโต่งกลุ่มนี้ ประกอบด้วยพวกสมาชิกรัฐสภาพรรค LDP และพวกซูเปอร์สตาร์ของฝ่ายอนุรักษนิยมคนอื่นๆ ในเดือนพฤษภาคม 2012 องค์การนี้ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเกี่ยวกับตัวอาเบะ ในงานชุมนุมงานหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า “การสาบานตัวเพื่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขปรับปรุงสำหรับญี่ปุ่น (The Swearing In Of The Revised Constitution For Japan) ซึ่งตัวอาเบะและพวกลูกน้องบริวารของเขาหารือถกเถียงกันเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญที่ทางพรรค LDP ต้องการจะนำเอามาใช้แทนที่ฉบับปัจจุบัน

ในงานชุมนุมดังกล่าวนี้ มีบางช่วงขณะที่ชวนให้รู้สึกประหลาดใจกันทีเดียว

นางาเซะ จิเนน (Nagase Jinen) อดีตรัฐมนตรียุติธรรมที่ได้รับแต่งตั้งขึ้นครองตำแหน่งนี้ในช่วงซึ่ง อาเบะ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ได้บอกกับฝูงชนในงานชุมนุมคราวนั้นว่า “เรื่องอำนาจอธิปไตยของประชาชน สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และลัทธิสันตินิยม – ทั้งสามอย่างนี้สามารถสาวย้อนหลังกลับไปจนถึงระบอบปกครองหลังสงครามซึ่ง (พลเอก ดักลาส) แมคอาเธอร์ ตั้งขึ้นมาในญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องกำจัดมันทิ้งไปเพื่อสร้างรัฐธรรมนูญของเราเองขึ้นมา!”

อาเบะ ปรบมืออย่างหนักแน่นต้อนรับข้อเสนอนี้ นั่นคือ ต้องกำจัดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ประชาธิปไตย และเข้าร่วมการทำสงคราม นอกจากนั้น ต้องฟื้นฟูให้จักรพรรดิกลับมามีอำนาจ

พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ –ทำให้ญี่ปุ่นกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งเหมือนในอดีต (Make Japan Great Again ทำนองเดียวกับ ทรัมป์ ที่เสนอคำขวัญว่า Make America Great Again -ผู้แปล) มันจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรเลยที่ในอีกหลายๆ ปีต่อมา สตีฟ แบนนอน จะพูดว่า อาเบะ นี่แหละ คือ ทรัมป์ ก่อนที่จะมี ทรัมป์ (Trump before Trump)

อาเบะ คือผู้ทรงอำนาจที่สุดมาอย่างยาวนาน ภายในพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party หรือ LDP) ซึ่งเป็นพรรคปกครองประเทศญี่ปุ่นอยู่ในเวลานี้ ในความเป็นจริง เมื่อตอนที่เขาถูกยิงในศุกร์ (8 ก.ค.) เขากำลังไปช่วยรณรงค์หาเสียงให้แก่พวกผู้สมัครของพรรค สำหรับการเลือกตั้งสภาสูงที่กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ (10 ก.ค.)
พรรค LDP นั้นก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1955 โดย โนบุซุเกะ คิชิ (Nobisuke Kishi) คุณตาของ อาเบะ ซึ่งเป็นอดีตอาชญากรสงครามที่ขึ้นมาดำรงนายกรัฐมนตรีในอีกหลายปีต่อมา พรรคนี้ก่อตั้งขึ้นด้วยเงินทองจากพวกยากูซ่า และมือปฏิบัติการของซีไอเอ ที่ชื่อว่า โยชิโอะ โคดามะ (Yoshio Kodama)

ทว่าเริ่มตั้งแต่ตอนที่เขาตกลงจากอำนาจด้วยความมัวหมอง ความนิยมในพรรค LDP ก็ดำดิ่ง

ในปี 2009 สถานการณ์แลดูเหมือนกับญี่ปุ่นอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง –และเป็นความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยที่เป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นนับตั้งแต่ปี 1955 เป็นต้นมา ที่พรรคเสรีประชาธิปไตย ซึ่งอุดมด้วยความฉ้อฉลตลอดกาลและมีแนวทางอนุรักษนิยมแบบเต็มไปด้วยเล่ห์กล ถูกเตะออกจากอำนาจ และพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (Democratic Party of Japan หรือ DPJ) ที่มีความโน้มเอียงไปในทางเสรีนิยม ส่งเสริมความเสมอภาค ส่งเสริมสิทธิสตรี ได้ขึ้นกุมบังเหียนแห่งอำนาจแทนที่ นี่ก็คือการปฏิวัตินั่นเอง

อย่างไรก็ดี สภาพเช่นนี้ไม่ได้ยืนยาวอะไร

พรรค DPJ ขึ้นสู่อำนาจได้เช่นนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีความคาดหวังกันว่าพวกเขาจะมือสะอาดมากกว่าและพัวพันกับอาชญากรรมน้อยกว่าพรรค LDP แต่แล้วกรณีฉาวโฉ่ครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งบ่งชี้ว่าคณะบริหารระดับท็อปของพรรคมีความผูกพันแบบน่ารังเกียจกับพวกยากูซ่า ก็ทำให้เกิดฝุ่นละอองหนาเตอะขึ้นมาจับภาพลักษณ์ที่แลดูสะอาดเนี้ยบลื่นของพวกเขา

การเลือกตั้งสภาล่างในปี 2012 คือการล่มสลายทางการเมือง พรรคการเมืองแทบทุกพรรค รวมทั้งพรรค DPJ ด้วย พากันพังยับเยิน และคนที่เรารู้ว่าเป็นใครก็สามารถหวนกลับออกมาจากสุสานทางการเมือง พร้อมที่จะขึ้นปกครองญี่ปุ่นด้วยกำปั้นเหล็กขึ้นสนิม

ในทันทีที่กลับคืนสู่อำนาจ ชินโซ อาเบะ จัดการแก้แค้นพวกที่คอยวิพากษ์วิจารณ์เขาอย่างรวดเร็วยิ่ง ด้วยการประทับตรา อาซาฮี ชิมบุง (Asahi Shimbun) หนังสือพิมพ์แนวเสรีนิยมว่าเป็นศัตรูของประชาชน ในเวลาต่อมา เขาจะบอกกับโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า “คุณควรจัดการกับนิวยอร์กไทมส์ ด้วยวิธีเดียวกับที่ผมจัดการกับอาซาฮีนะ”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ(ขวา) จับมือกับ ชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในห้องทำงานรูปไข่ ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2018  ทั้งนี้ สตีฟ แบนนอน ที่ปรึกษาคนดังของทรัมป์ พูดถึงอาเบะว่าเป็น “Trump before Trump”
เขาข่มเหงรังเกสื่อมวลชนฝ่ายซ้าย และสรวลเสเฮฮาสนิทสนมกับสื่อมวลชนฝ่ายขวา จนดึงลากเอาอันดับด้านเสรีภาพสื่อมวลชนของญี่ปุ่นจากที่เคยอยู่อันดับ 11 ของโลก หล่นลงมาอยู่ที่อันดับ 72 ในปี 2014 เขาจัดตั้ง “กรมบริหารงานบุคคลคณะรัฐมนตรี” (Cabinet Personnel Bureau) ขึ้นมา ซึ่งมีหน้าที่คอยควบคุมการแต่งตั้งข้าราชการต่างๆ อย่างเข้มงวดไร้ความปรานี เพื่อให้แน่ใจว่าข้าราชการหรือลูกจ้างพนักงานคนไหนก็ตามที่กล้าล้ำเส้น หรือเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารซึ่งขัดแย้งกับคณะรัฐบาล จะต้องถูกแช่แข็ง ถูกไล่ออก หรือถูกโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีบทบาท ปรากฏว่างานนี้กระทำกันได้อย่างทรงประสิทธิภาพเหลือเกิน กระทั่งมีข้าราชการระดับสูงบางคนลงมือหาทางปกปิดอำพรางเรื่องฉาวโฉ่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาเบะด้วยตนเอง โดยยังไม่ทันมีคำสั่งโดยตรงให้กระทำเช่นนั้นด้วยซ้ำไป
(อันดับเสรีภาพสื่อมวลชนของญี่ปุ่น ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.latimes.com/world/asia/la-fg-japan-press-freedom-20160420-story.html)

พวกพิธีกรนักจัดรายการ ตลอดจนผู้ทรงภูมิที่ปรากฏตัวทางทีวี ถ้าคนไหนมีท่าทีพร้อมที่จะใช้วิจารณาญาณ วิพากษ์วิจารณ์ อาเบะ มากเกินไปแล้ว ก็พากันหายหน้าหายตาไปจากจอ โยมิอูริ ชิมบุง (Yomiuri Shimbun) หนังสือพิมพ์รายวันใหญ่ที่สุดของโลก ตีข่าวใส่ร้ายป้ายสีคนที่วิพากษ์วิจารณ์ อาเบะ อย่างหนักแน่นที่สุดในกระทรวงศึกษาธิการ ด้วยข้อหาว่า “ไปเที่ยวบาร์เซ็กซี่ในย่านคาบูกิโช (Kabukicho) อยู่บ่อยๆ” ตัวอาเบะนั้นไม่ได้มีความรู้สึกหวาดหวั่นไม่สบายใจเกี่ยวกับการใช้สื่อมวลชนเพื่อป้ายสีทำให้ใครๆ เสื่อมเสียชื่อเสียง เวลาเดียวกันสื่อมวลชนซึ่งมีความกระหายอยากได้ข่าวสกู๊ปเด็ดที่ฝ่ายรัฐบาลนำมาป้อนให้ก็แฮปปี้ที่จะเล่นไปตามเกมนี้

อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วเมื่อถึงปี 2020 น้ำหนักที่กดทับลงมาของพวกเรื่องอื้อฉาวต่างๆ ทางการเมือง และการที่ อาเบะ ถูกสอบสวนเรื่องละเมิดกฎหมายเลือกตั้งหลายๆ กรณี ก็บังคับให้เขาต้องยอมลาออกจากตำแหน่งภายใต้ข้ออ้างอำพรางว่า เนื่องจาก “ปัญหาทางสุขภาพ” อีกสองสามเดือนถัดจากนั้น เขาก็โยนเลขานุการทางการเมืองของเขาให้กลายเป็นแพะรับบาป ขณะที่ตัวเขาเองก็เป็นอันพ้นข้อหาต่างๆ ไป เขาเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่เงียบๆ เป็นเวลาหลายเดือนทีเดียว แต่แล้วก็ไม่สามารถต้านทานแสงสีอันเจิดจ้าได้
(เรื่องการยื่นใบลาออกคราวนี้ของเขา ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/japans-longest-serving-pm-shinzo-abe-quits-in-bid-to-escape-potential-prosecution)
(เรื่องเลขานุการของเขาถูกกล่าวโทษ ขณะที่อาเบะลอยตัว ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://jp.reuters.com/article/uk-japan-politics-abe-idUKKBN28W06V)

ในท้ายที่สุดแล้ว ตลอดช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ประสบความล้มเหลวไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งถ้อยคำเพียงคำเดียวในรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่น กระนั้นเขาก็ผลักดันให้ผ่านกฎหมายหลายๆ ฉบับที่มีเนื้อหาเป็นการกัดกร่อนสาระสำคัญของมัน รวมทั้งมาตรา 9 ซึ่งเป็นการประกาศลัทธิสันตินิยมของญี่ปุ่น
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.thedailybeast.com/suicidal-anti-war-protest-shocks-japan-as-it-rethinks-pacifist-constitution)

พิจารณากันโดยภาพรวม ผลสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดของ ชินโซ อาเบะ คืออะไร? คือการดิสเครดิตพวกพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชนที่มีวิจารณญาณอย่างทั่วถ้วน จนกระทั่งทำให้ญี่ปุ่นไม่ถูกมองว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีพรรคการเมืองหลายพรรคอีกต่อไปแล้ว ญี่ปุ่นในปัจจุบันคือประชาธิปไตยแบบมีพรรคเดียว โดยที่พวกสื่อมวลชนก็อยู่ในอาการหางจุกก้น และมันน่าจะเป็นเช่นนี้เรื่อยๆ ไปอีกหลายทศวรรษทีเดียว

เจค อะเดลสไตน์ เป็นนักหนังสือพิมพ์แนวสืบสวนสอบสวนที่ปฏิบัติงานอยู่ในญี่ปุ่นมาตั้งแต่ปี 1993 เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าที่สุดในเรื่องแก๊งอาชญากรในญี่ปุ่น และทำงานในฐานะนักเขียนและที่ปรึกษาทั้งในญี่ปุ่นและในสหรัฐฯ เขายังเป็นที่ปรึกษาของโครงการ NPO Polaris Project Japan ซึ่งมุ่งต่อสู้กับการค้ามนุษย์และการขูดรีดผู้หญิงและเด็กในการค้าเซ็กซ์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Tokyo Vice: An American Reporter on the Police Beat in Japan (ด้านเลวของโตเกียว: นักข่าวชาวอเมริกันผู้ทำข่าวสายอาชญากรรมในญี่ปุ่น) (สำนักพิมพ์ Vintage) และเล่มใหม่ที่กำลังจะออกมาในเร็วๆ นี้คือเรื่อง The Last Yakuza: A Life In The Japanese Underworld. (ยากูซ่าคนสุดท้าย: ชีวิตหนึ่งในโลกใต้ดินของญี่ปุ่น)

(เก็บความจากเรื่อง Shinzo Abe Was ‘Trump Before Trump’—Except He Pulled It Off ในหนังสือพิมพ์ออนไลน์ DailyBeast https://www.thedailybeast.com/shinzo-abe-was-japans-donald-trump-before-trumpexcept-he-pulled-it-off?ref=scroll)


กำลังโหลดความคิดเห็น