xs
xsm
sm
md
lg

เหตุผลของฝ่ายรัสเซียที่ตัดสินใจถอนทหารออกจาก ‘เกาะงู’ –ที่มั่นทางยุทธศาสตร์ในยูเครน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร


ภาพถ่ายผ่านดาวเทียม ที่ถ่ายและเผยแพร่โดย แพลเนต แลปส์ พีบีซี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2022 แสดงเห็น เกาะงู (Snake Island หรือ เกาะซมีนี Zmiyinyi ในภาษายูเครน)
Russia steals the thunder in ‘wheat war’
BY M. K. BHADRAKUMAR
30/06/2022

การที่รัสเซียประกาศถอนกองทหารออกมาจาก ‘เกาะงู’ ที่มั่นทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในทะเลดำ ถือเป็นการเสี่ยงด้วยการวางเดิมพันก้อนโต มันเป็นการปฏิบัติการอย่างหลักแหลมเพื่อสยบกระแสลมแห่งการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายตะวันตก ซึ่งกำลังประณามรัสเซียว่าเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร แต่ก็มีอันตรายทางการทหาร ถ้าฝ่ายยูเครนสามารถยึดที่มั่นแห่งนี้กลับคืนไปได้สำเร็จ

มอสโกเดินหมากการทูตทางการทหารที่ชาญฉลาดมาก เมื่อกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียประกาศในวันพฤหัสบดี (30 มิ.ย.) ว่า ตน “กำลังถอน” กองทหารรักษาที่มั่นในเกาะงู (Snake Island) อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ในทะเลดำที่เกิดการแย่งชิงกันอย่างดุเดือดเรื่อยมา นับแต่ที่กองกำลังยูเครนถูกขับไล่ออกไปเมื่อเดือนมีนาคม ในช่วงระยะต้นๆ ของการปฏิบัติการพิเศษทางการทหารของรัสเซีย

การตัดสินใจคราวนี้เกิดขึ้น 1 วันหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศ เซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซีย และเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เจรจาหารือกันในเรื่องความมั่นคงทางอาหารของโลกในท่ามกลางสถานการณ์ในยูเครน ระหว่างการพูดจากันทางโทรศัพท์เมื่อวันพุธ (29 มิ.ย.) ทั้งนี้ตามบันทึกย่อการสนทนากันคราวนี้ของฝ่ายรัสเซีย รัฐมนตรีลาฟรอฟ “เน้นย้ำว่าการส่งออกธัญพืชของยูเครนประสบปัญหาเพราะกำลังถูกสกัดกั้นด้วยการที่เคียฟวางทุ่นระเบิดเอาไว้ในทะเลดำ”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://mid.ru/ru/foreign_policy/news/1819942/)

ยิ่งกว่านั้น ลาฟรอฟ “ยังยืนยันอีกครั้งถึงความพร้อมที่จะเติมเต็มพันธกรณีต่างๆ ของฝ่ายรัสเซียต่อไปในเรื่องการส่งออกอาหารและปุ๋ย ถึงแม้การเติมเต็มเช่นนี้ของฝ่ายตนกำลังเผชิญความสลับซับซ้อนอย่างสำคัญจากการแซงก์ชั่นตามอำเภอใจฝ่ายเดียวและผิดกฎหมายของบรรดารัฐฝ่ายตะวันตก ตลอดจนจากการสะดุดติดขัดของการผลิตในทั่วโลกและของห่วงโซ่ค้าปลีกสืบเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด”

ที่สำคัญมากคือ ลาฟรอฟ แจ้งให้ กูเตียร์เรส ทราบว่า มอสโก “มีความตั้งใจที่จะทำงานต่อไปอีกเพื่อลดทอนภัยคุกคามในเรื่องวิกฤตการณ์อาหาร โดยรวมถึงการร่วมมือกับยูเอ็นในเรื่องนี้”

สำหรับกระทรวงกลาโหมรัสเซียนั้น ขณะที่ประกาศเรื่องการถอนกองทหารรักษาเกาะงู นั้น ได้เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่าเป็น “การแสดงท่าทีอย่างมีไมตรีจิต” รวมทั้งเชื่อมโยงเรื่องนี้กับเรื่องวิกฤตการณ์ความมั่นคงด้านอาหาร คำแถลงของกระทรวงยังบอกด้วยว่า “สหพันธรัฐรัสเซียได้สาธิตให้สังคมระหว่างประเทศเห็นแล้วว่า ความพยายามของยูเอ็นในการจัดตั้งพื้นที่ระเบียงทางมนุษยธรรมสำหรับการขนส่งผลิตผลทางการเกษตรออกจากยูเครนนั้น ไม่ได้มีอุปสรรคใดๆ เลยจากฝ่ายรัสเซีย

“การใช้หนทางคลี่คลายปัญหาเช่นนี้ จะป้องกันไม่ให้เคียฟสามารถฉวยโอกาสเก็งกำไรจากวิกฤตการณ์ด้านสิ่งของบริโภคที่กำลังจะเกิดขึ้นมา โดยอ้างเรื่องไม่สามารถส่งออกธัญพืชได้สืบเนื่องจากรัสเซียควบคุมบริเวณส่วนตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลดำเอาไว้อย่างสิ้นเชิง

เวลานี้ มันจึงขึ้นอยู่ฝ่ายยูเครนซึ่งยังคงไม่ยอมเก็บกวาดเคลียร์ทุ่นระเบิดตามแนวชายฝั่งทะเลดำ รวมทั้งตามน่านน้ำของท่าเรือต่างๆ”

ผลที่เกิดขึ้นมาจึงเท่ากับว่า รัสเซียท้าทาย เคียฟ ให้ต้องลงมือทำงานในส่วนของตนด้วยการเคลื่อนย้ายพวกทุ่นระเบิดในทางน้ำซึ่งเข้าสู่ท่าเรือทั้งหลายของตน อย่างไรก็ตาม พฤติการณ์ในทางการทูตเช่นนี้ ใช่ว่าจะไม่มีนัยทางการทหารอย่างสาหัสร้ายแรงใดๆ เลย

พิจารณาจากสิ่งที่ปรากฏให้เห็นภายนอก มอสโกกำลังเสี่ยงด้วยการวางเดิมพันก้อนโตทีเดียว –เป็นการปฏิบัติการอย่างหลักแหลมเพื่อสยบกระแสลมแห่งการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายตะวันตก ซึ่งกำลังประณามรัสเซียว่าเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ราวกับว่าสถานการณ์นี้คือสิ่งที่เป็นผลลัพธ์จากการปฏิบัติการนาน 4 เดือนของรัสเซียที่เริ่มขึ้นในปลายเดือนกุมภาพันธ์ แทนที่จะเป็นวิกฤตการณ์ซึ่งพอกพูนใหญ่โตขึ้นทุกทีๆ จากตลอดระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา โดยที่สหรัฐฯและพวกประเทศตะวันตกนั่นแหละที่จะต้องถูกประณาม

แต่ก็เหมือนกับการเสี่ยงวางเดิมพันเล่นพนันทุกๆ อย่างนั่นแหละ กลอุบายเช่นนี้มีอันตรายอยู่ตรงที่ว่า ขณะฝ่ายรัสเซียถอนตัวออกจากเกาะงู เคียฟก็อาจเข้าไปยึดคืนอสังหาริมทรัพย์ทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในทะเลดำชิ้นนี้กลับคืนไป อันเป็นสิ่งซึ่งพวกที่ปรึกษาทางทหารของอเมริกันและของอังกฤษบีบคั้นเร่งเร้าให้กระทำเรื่อยมา

จวบจนถึงเวลานี้ ความพยายามครั้งใหญ่ 2 ครั้งในทิศทางดังกล่าวนี้ได้ถูกกองกำลังรัสเซียตีโต้กลับไป ทั้งนี้พวกนักวิเคราะห์ทางทหารของฝ่ายตะวันตกประเมินเอาไว้ว่า การที่ฝ่ายรัสเซียปรากฏตัวทางทหารบนเกาะงู เป็นภัยคุกคามต่อทรัพย์สินต่างๆ ของนาโต้ในโรมาเนีย ซึ่งอยู่ถัดไปไม่ไกลเลย (ดูเพิ่มเติมได้ในบล็อกของผมเรื่อง Southern Ukraine is the priority in NATO’s planning, Indian Punchline, June 22, 2022 ที่ https://www.indianpunchline.com/southern-ukraine-is-the-priority-in-natos-planning/) [1]

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวคราวนี้ของฝ่ายรัสเซียก็ก่อให้เกิดเสียงสะท้อนทางการเมืองในระดับที่แน่นอนขึ้นมา ตราบเท่าที่มันสามารถใช้เพื่อตีความว่ามอสโกเดินหน้าไปไกลแล้วเพื่อคลี่คลายประเด็นปัญหาต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการส่งออกข้าวสาลีของยูเครน แน่นอนทีเดียว การอำนวยความสะดวกให้แก่การจัดตั้ง “พื้นที่ระเบียงแห่งมนุษยธรรม” ขึ้นในทะเลดำเช่นนี้ ย่อมเป็นการขจัดความจำเป็นสำหรับการเข้ามาแทรกแซงใดๆ ของฝ่ายตะวันตก อย่างที่ส่อเป็นนัยให้เห็นในคำแถลงของกลุ่ม จี7 ว่าด้วยความมั่นคงทางด้านอาหารของโลก ซึ่งออกมาระหว่างการประชุมซัมมิตของพวกเขาใน เอลมาว (Elmau) ภาคใต้ของเยอรมนีเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการหนุนหลัง “ความพยายามของยูเอ็นในการปลดล็อกเปิดระเบียงเดินเรือผ่านทะเลดำอย่างปลอดภัย”
(ดูเพิ่มเติมคำแถลงของ จี7 ในเรื่องนี้ได้ที่ https://reliefweb.int/report/world/g7-statement-global-food-security-elmau-28-june-2022)

ในความเป็นจริงแล้ว รัสเซียซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีของโลกในปริมาณ 16% และยูเครน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกในปริมาณ 10% ไม่ได้มีฐานะเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายสำคัญที่สุดของโลกกันเพียง 2 ประเทศเท่านั้น –ตัวอย่างเช่น สหรัฐฯและแคนาดา ก็ส่งออกข้าวสาลี 26 ล้านตัน และ 25 ล้านตันตามลำดับ (เท่ากับราวๆ 25% ของการส่งออกทั่วโลก) และพวกผู้ผลิตฝ่ายตะวันตกที่ถือว่าเป็นรายใหญ่อื่นๆ อย่างฝรั่งเศส (19 ล้านตัน) และเยอรมนี (9.2 ล้านตัน) รวมกันแล้วเป็นผู้ส่งออกอีกประมาณ 12% ของโลก แต่พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะแบ่งปันธัญพืชของพวกเขากับผู้คนในโลกที่มีความจำเป็น โดยถือเรื่องความมั่นคงทางอาหารของพวกเขาเองเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แน่นอนล่ะ พวกประเทศตะวันตกร่ำรวยเหล่านี้ก็มีความยากลำบากของพวกเขาเองเกี่ยวกับเรื่องราคาพลังงาน, ต้นทุนการผลิต, และภาวะเงินเฟ้อ พวกเขาจึงต้องการที่จะเก็บวัตถุดิบต่างๆ ของพวกเขาเอาไว้ก่อน เพื่อปกป้องคุ้มครองเศรษฐกิจของพวกเขาจากการพุ่งปรูดปราดต่อไปอีกของอัตราเงินเฟ้อ พูดกันง่ายๆ เลย ถ้าหากเกิดเหตุการณ์สกุลเงินตราไร้เสถียรภาพขึ้นมา หรือเกิดความไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจหรือทางการเมืองไม่ว่าในรูปแบบใดๆ ขึ้นมาจริงๆ มันก็ย่อมเป็นความสุขุมรอบรอบกว่ากันนักที่จะมีวัตถุดิบอยู่ในมือ แทนที่จะมีเพียงแค่เงินสด เพราะวัตถุดิบเหล่านี้จะไม่เสื่อมค่าราคาตกอย่างรวดเร็วเท่ากับเงินตรา

ปัญหาเกี่ยวกับการจัดหาจัดส่งสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีการผลิตกันอยู่อย่างกว้างขวางเฉกเช่นข้าวสาลีนี้ จะได้รับการแก้ไขกันให้คลี่คลายไปได้มากที่สุด ก็มีแต่ว่าสหรัฐฯและอียูต้องยินยอมให้รัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดในโลก สามารถแบ่งปันซัปพลายของตน ซึ่งก็คือต้องมีการยกเลิกมาตรการแซงก์ชั่น เวลานี้การแซงก์ชั่นของฝ่ายตะวันตกบังคับให้พวกบริษัทระหว่างประเทศต้องสะบั้นความผูกพันทางธุรกิจที่มีมายาวนานกับแดนหมีขาวและถอนตัวออกไปจากรัสเซีย ซึ่งก่อให้เกิดภาวะสะดุดติดขัดทางซัปพลายขึ้นมา ตัวอย่างในเรื่องเช่นนี้ตัวอย่างหนึ่ง ได้แก่การที่เมื่อเดือนพฤษภาคม อียูได้สั่งห้ามไม่ให้มีความร่วมมือกับ โนโวรอสซีสก์ (Novorossiysk) เมืองท่าริมทะเลดำทางภาคใต้ของรัสเซีย ซึ่งเป็นจุดที่พวกเรือสินค้าเดินทางเข้าไปรับธัญพืชส่งออกมากกว่าครึ่งหนึ่งของรัสเซีย
(เรื่องรัสเซียเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://worldpopulationreview.com/country-rankings/wheat-production-by-country)

รัสเซียนั้นยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาฐานะครอบงำเหนือทะเลดำของตนเอาไว้ รวมทั้งจะไม่อดทนอดกลั้นถ้าหากจะมีภัยคุกคามใดๆ ต่อแหลมไครเมีย อย่างไรก็ดี ท่าทีแสดงไมตรีจิตในเรื่องเกาะงูนั้นเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก ขณะเดียวกันรัสเซียก็ไม่ได้มีการปล่อยปละละเลยในเรื่องการปฏิบัติการพิเศษทางทหารในภาคใต้ของยูเครน

ภายในบริบทดังกล่าวนี้ คำพูดเมื่อวันพุธ (29 มิ.ย.) ของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ที่กรุงอาชกาบัต เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน ซึ่งเขาเดินทางไปเยือน คือการย้ำให้เห็นจุดนี้นั่นเอง ทั้งนี้เมื่อเขาถูกสื่อมวลชนสอบถามเกี่ยวกับ “เป้าหมายในปัจจุบัน” ของการปฏิบัติการของรัสเซีย ปูตินตอบเอาไว้เช่นนี้:

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ผมได้พูดเรื่องนี้เอาไว้ในตอนเช้าของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผมได้พูดเรื่องนี้เอาไว้อย่างตรงๆและอย่างเปิดเผยต่อสาธารณชน โดยแจ้งให้ทั่วทั้งประเทศและโลกได้รับทราบ ผมไม่มีอะไรที่จะต้องบอกเพิ่มเติม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ... ผมไว้วางใจในพวกมืออาชีพ พวกเขากำลังทำสิ่งที่พวกเขาพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็นเพื่อธำรงรักษาเป้าหมายโดยรวมเอาไว้ ผมได้กำหนดเป้าหมายโดยรวมเอาไว้แล้ว ซึ่งก็คือการปลดแอกดอนบาส, ปกป้องประชาชนของดอนบาส, และ สร้างเงื่อนไขต่างๆ ที่จะค้ำประกันความมั่นคงของรัสเซียเอง ทั้งหมดก็คืออย่างนี้แหละ เรากำลังทำงานไปด้วยใจที่สงบและมั่นคงแน่วแน่ อย่างที่พวกคุณมองเห็นกันได้อยู่แล้ว กองกำลังของเรากำลังเคลื่อนไปข้างหน้า และกำลังบรรลุวัตถุประสงค์ต่างๆ ตามที่กำหนดเอาไว้สำหรับแต่ละช่วงระยะเฉพาะของการสู้รบ เรากำลังเดินหน้าไปตามแผนการที่วางไว้ (วลีที่เน้น เป็นผู้เขียนเน้นเพิ่มเติมขึ้นมา)

“เราไม่ได้กำลังพูดถึงกำหนดเส้นตายใดๆ ทั้งนั้น ผมไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกเส้นตายนี่เลย เนื่องจากนี่คือชีวิต นี่คือความเป็นจริง มันจะเป็นความผิดพลาดถ้าหากจะทำให้สิ่งต่างๆ เข้าไปอยู่อย่างเหมาะเจาะภายในกรอบโครงใดๆ เพราะว่า อย่างที่ผมได้พูดไว้แล้ว ประเด็นนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความดุเดือดเข้มข้นของการสู้รบ ซึ่งมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความสูญเสียต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นมา และเราต้องคำนึงให้เหนือยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมดเลย ในเรื่องการรักษา “ชีวิต” ของคนของเรา”

(ดูเพิ่มเติมการให้ความเห็นของปูตินคราวนี้ได้ที่ http://en.kremlin.ru/events/president/news/68783)

ตรงนี้ วลีสำคัญของการปฏิบัติการให้บังเกิดผล ก็คือ “สร้างเงื่อนไขต่างๆ ที่จะค้ำประกันความมั่นคงของรัสเซียเอง” เกาะงูนั้นถึงยังไง ก็ยังอยู่ห่างจากเซวาสโตโปล (Sevastopol) ฐานทัพเรือของรัสเซียในแหลมไครเมีย ราวๆ 175 ไมล์ (ราว 281.6 กิโลเมตร)

เอ็ม.เค.ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline)

ข้อเขียนชิ้นนี้มาจากบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.indianpunchline.com/russia-steals-the-thunder-in-wheat-war/

แผนที่ของ บีบีซี แสดงที่ตั้งของเกาะงู ในทะเลดำ และเมืองสำคัญๆ ที่อยู่รอบๆ
หมายเหตุผู้แปล

[1] ในข้อเขียนเรื่อง Southern Ukraine is the priority in NATO’s planning นี้ เอ็ม.เค. ภัทรกุมาร พูดถึงความสำคัญของ เกาะงู เอาไว้ดังนี้:

การมีอำนาจควบคุมเหนือเกาะงู เป็นสิ่งที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ หินก้อนใหญ่ขนาดพื้นที่แค่ 46 เอเคอร์ (ราว 116 ไร่เศษๆ) ซึ่งผิวหน้ามีแต่ก้อนหินและหญ้าขึ้นแห่งนี้ดูไม่ค่อยมีค่าอะไร ทว่ามันตั้งอยู่ใกล้ๆ ชายฝั่งด้านใต้ของเมืองโอเดสซา (Odessa) ถ้าหากฝ่ายรัสเซียจะเข้าตีเมืองท่าสำคัญแห่งนี้ในอนาคตตามที่คาดหมายกันไว้ ก็จำเป็นต้องใช้เกาะงูเป็นกระดานสปริง ในทำนองเดียวกัน การเพิกถอนการควบคุมของรัสเซียเหนือเกาะแห่งนี้ให้ได้ ก็กลายภารกิจสำคัญสำหรับเคียฟ

ถ้ากองทัพยูเครนสามารถกลับเข้าควบคุม เกาะงู ได้ใหม่ ก็ไม่เพียงแค่สามารถรับประกันความปลอดภัยทางอากาศและทางทะเลใกล้ๆ โอเดสซา เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เมืองท่าแห่งนี้สำหรับรองรับอาวุธยุทโธปกรณ์ของนาโต้ที่จัดส่งมาให้ทางทะเล ถึงแม้ว่าเกาะแห่งนี้มีขนาดเพียงแค่เศษเสี้ยวของตารางกิโลเมตร แต่ก็ไม่เป็นที่สงสัยกันเลยเกี่ยวกับความสำคัญของมันสำหรับการเข้าควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเลในบริเวณซีกตะวันตกของทะเลดำ

ถ้าฝ่ายรัสเซียจัดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีพิสัยทำการไกลๆ ของตนขึ้นมา พวกเขาก็จะควบคุมทะเล, พื้นดิน, และอากาศ ทางส่วนเหนือ-ตะวันตกของทะเลดำ และในบริเวณภาคใต้ของยูเครน นอกจากนั้นมันยังจะเปิดโอกาสให้กองทหารรัสเซียตีลุยเข้าไปสู่ ทรานส์นีสเตรีย (Transnistria) ดินแดนที่ประกาศแยกตัวออกมาจาก มอลโดวา และเวลานี้อยู่ใต้การควบคุมของรัสเซีย ซึ่งตั้งอยู่ถัดไปจากยูเครน และไม่ได้ห่างจาก โอเดสซา กี่มากน้อย สหรัฐฯนั้นกำลังทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อยเพื่อทำให้เกิด “ยูเครนอีกแห่งหนึ่ง” ที่ต่อต้านคัดค้านรัสเซียขึ้นมาใน มอลโดวา ซึ่งก็มีประธานาธิบดีคนหนึ่งและเจ้าหน้าที่ระดับท็อปหลายๆ รายเป็นผู้ที่ถือสองสัญชาติ โดยอีกสัญชาติหนึ่งคืออเมริกันอยู่แล้ว และปรารถนาหาทางให้ มอลโดวา เข้าเป็นสมาชิกของ อียู และนาโต้

เกาะงู ยังอยู่ห่างเพียงแค่ 45 กิโลเมตรจากชายฝั่งของโรมาเนีย ซึ่งเป็นสมาชิกของนาโต้ และกลุ่มพันธมิตรทางทหารแห่งนี้ได้จัดส่งกองทหารภาคพื้นดินจำนวนอาจจะถึง 4,000 คนไปประจำที่นั่น โดยเป็นทหารที่มาจากหลายประเทศ ทั้ง สหรัฐฯ, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, โปแลนด์ ฯลฯ เกาะงู ยังตั้งประชิดกับปากแม่น้ำดานูบ ซึ่งเป็นเส้นแบ่งแดนระหว่างโรมาเนีย กับ ยูเครน พวกนักวิเคราะห์ทางทหารชี้ว่า กองทหารรัสเซียบนเกาะงู สามารถใช้เป็นเป็นที่มั่นเพื่อควบคุมเส้นทางสัญจรเข้าสู่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำดานูบ ซึ่งถือเป็นปากประตูสู่ภาคใต้-ตะวันออกของยุโรป โดยที่ คอนสแตนตา (Constanta) เมืองท่าริมทะเลดำของโรมาเนียก็ตั้งอยู่ไม่ไกลนักทางใต้ลงมา

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การที่สหรัฐฯและสหราชอาณาจักรเข้าเกี่ยวข้องในการวางแผนและการลงมือดำเนินการเพื่อพยายามชิงอำนาจควบคุม เกาะงู กลับคืนไปครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงให้เห็นว่าพวกให้สถานะอันสำคัญอย่างยิ่งและแทบจะถือเป็นตำนานทีเดียวแก่เกาะงู แน่นอนล่ะ หากรัสเซียนำเอาระบบขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานล้ำยุคแบบ เอส-400 เข้าไปประจำการในเกาะงู ก็ย่อมเป็นอันตรายต่อปีกด้านใต้ของนาโต้

สามารถกล่าวได้ว่า การปรากฏตัวอย่างถาวรของ นาโต้ ในทะเลดำ และอนาคตที่วาดหวังจะขยายตัวเข้าสู่ภูมิภาคคอเคซัส และทะเลแคสเปียน ตลอดจนเอเชียกลาง จะยังคงเป็นปัญหาแก้ไม่ตก ตราบใดที่ รัสเซีย ยังควบคุม เกาะงู เอาไว้



กำลังโหลดความคิดเห็น