นายกรัฐมนตรี นาฟตาลี เบนเน็ตต์ แห่งอิสราเอล ระบุวานนี้ (1 มิ.ย.) ว่าระบบ “เลเซอร์” ป้องกันภัยทางอากาศที่อิสราเอลมีแผนนำเข้าประจำการในปีหน้า สามารถยิงทำลายขีปนาวุธและโดรนของศัตรูได้ด้วยต้นทุนเพียง 2 ดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่ถึง 70 บาทต่อครั้ง
ปัจจุบันกองทัพอิสราเอลยังต้องพึ่งระบบป้องกันภัยทางอากาศซึ่งใช้วิธียิงขีปนาวุธสกัดกั้นหลายลูกขึ้นไปทำลายจรวดของศัตรู ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวมีต้นทุนตั้งแต่หลายหมื่นไปจนถึงนับล้านๆ ดอลลาร์สหรัฐ
ในทางตรงกันข้าม ระบบเลเซอร์ ‘ไอเอิร์น บีม’ (Iron Beam) ที่อิสราเอลเปิดตัวรุ่นโปรโตไทป์เมื่อปีที่แล้ว จะใช้วิธียิงแสงเลเซอร์ที่ให้พลังงานความร้อนสูงขึ้นไปทำลายภัยคุกคามทางอากาศ ซึ่งจะมีต้นทุนปฏิบัติการที่ต่ำกว่ากันมาก
เบนเน็ตต์ คาดว่าระบบดังกล่าวจะพร้อมสำหรับการใช้งานจริงภายในต้นปี 2023
“มันจะเป็นตัวเปลี่ยนเกม ไม่ใช่แค่เพราะเราสามารถโจมตีกองทัพศัตรูได้เท่านั้น แต่เราจะทำให้พวกเขาหมดเนื้อหมดตัวด้วย” เบนเน็ตต์ กล่าวระหว่างไปเยี่ยมชมโรงงานของบริษัท Rafael Advanced Defense Systems รัฐวิสาหกิจกลาโหมซึ่งเป็นผู้พัฒนาอาวุธเลเซอร์ดังกล่าว
ในอดีตกองกำลังปาเลสไตน์และเลบานอนจะใช้วิธียิงจรวดและปืนใหญ่นับพันๆ ลูกเข้าไปโจมตีในฝั่งอิสราเอล และในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังมีโดรนที่อิสราเอลมักยิงสกัดได้บริเวณชายแดน ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าน่าจะมาจากกลุ่มนักรบที่ “อิหร่าน” หนุนหลัง
“ที่ผ่านมาเราต้องใช้งบประมาณมากมายในการยิงสกัดจรวดแต่ละลูก แต่นับจากวันนี้ไป พวกศัตรูจะต้องใช้เงินหลายหมื่นดอลลาร์เพื่อยิงจรวด 1 ลูก ในขณะที่เราจะใช้พลังงานไฟฟ้าแค่ครั้งละ 2 ดอลลาร์ในการสกัดกั้นมัน” ผู้นำอิสราเอลกล่าว
ที่มา : รอยเตอร์