xs
xsm
sm
md
lg

“วิกรมสิงเห” นั่งควบรมว.คลังกันอิทธิพล "ราชปักษา" ยุ่งย่ามหลัง “ศรีลังกา” โดนสถานะผิดนัดชำระหนี้ 51 ล้านดอลลาร์ สั่งขึ้นราคาน้ำมันแก้วิกฤต ต่อสายคุย USAID ของสหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



รอยเตอร์/เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – นายกรัฐมนตรีศรีลังกา รานิล วิกรมสิงเห สาบานตนรับตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังเช้าวันนี้(25 พ.ค)หลังพรรคประธานาธิบดี โกตาบายา ราชปักษา ยื้อขอนั่งเองเกิดขึ้นหลังวันจันทร์(23 พ.ค)โคลัมโบหารือทางโทรศัพท์กับองค์การ USAID ของสหรัฐฯเพื่อรับความช่วยเหลือ ประชาชนทั่วไปได้รับผลกระทบสาหัสโดนรัฐบาลใหม่ขึ้นราคาน้ำมันสูงสุด 38% แก้เศรษฐกิจแต่แถวเข้าคิวหน้าปั้มยังยาว แก้ปัญหาสั่งประชาชนทำงานจากบ้านแทน

รอยเตอร์รายงานวันนี้(25 พ.ค)ว่า นายกรัฐมนตรีศรีลังกา รานิล วิกรมสิงเห วัย 73 ปีที่เพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนในวันพุธ(25)ได้สาบานตนต่อหน้าประธานาธิบดีศรีลังกา โกตาบายา ราชปักษาเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังศรีลังกา

โดยในแถลงการณ์จากสำนักงานประธานาธิบดีศรีลังกามีใจความว่า “นายกรัฐมนตรีศรีลังกา รานิล วิกรมสิงเห ได้เข้าสาบานตนในตำแหน่งรัฐมนตรีการคลัง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และนโยบายแห่งชาติ(finance, economic stabilisation and national policies minister)ต่อหน้าประธานาธิบดีราชปักษาในเช้าวันนี้”

วิกรมสิงเหจะเป็นผู้นำทีมเจรจารับความช่วยเหลือจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศ IMF ซึ่งการเจรจาในระดับเจ้าหน้าที่ร่วมกับทาง IMF ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว และคาดว่าอีกกว่า 6 เดือนข้างหน้าที่ IMF จึงจะยอมพิจารณาว่าจะตกลงปล่อยเงินกู้ให้กับศรีลังกาหรือไม่ แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางศรีลังกาเปิดเผยกับเอเอฟพี

ทั้งนี้ในวันศุกร์(21)แดนสิงหลแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จำนวน 9 คนจากรัฐบาลจากทุกพรรคเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งยกเว้นตำแหน่งรัฐมนตรีการคลัง เอเอฟพีชี้ว่าปัญหาความล่าช้าเกิดจากการที่หัวหน้าพรรคศรีลังกา โพดูจานา เปรามูนา SLPP (Podujana Peramuna ) ของประธานาธิบดีราชปักษาต้องการตำแหน่งนี้แต่วิกรมสิงเหยืนยันว่า ถ้าจะให้เขาดำรงตำแหน่งนายกฯเขาต้องนั่งคุมกระทรวงการคลังด้วยตัวเอง

ศรีลังกาล่าสุดตกอยู่ในสถานะผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ 51 ล้านดอลลาร์อย่างเป็นทางการแล้ว อ้างอิงรอยเตอร์รัฐบาลวิกรมสิงเหได้แต่งตั้ง Lazard and Clifford Chance ให้เป็นที่ปรึกษาสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ต่างชาติจำนวน 12 พันล้านดอลลาร์ที่สะสมมานานแรมปี

ขณะเดียวกันในวันอังคาร(24)รัฐบาลศรีลังกาสั่งขึ้นราคาน้ำมันสูงลิ่วเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจและเรียกร้องให้ประชาชนทำงานจากบ้านแทนเพื่อแก้ปัญหา

รัฐมนตรีพลังงานและเชื้อเพลิงศรีลังกา กาญจนา วิเจเศเกรา( Kanchana Wijesekera) กล่าวแถลงผ่านทวิตเตอร์ว่า ราคาน้ำมันเบนซินจะเพิ่ม 20% -24% และน้ำมันดีเซลเพิ่ม 35% -38% ผลบังคับใช้การปรับราคาเกิดขึ้นทันทีขณะที่ข้อกำหนดการจำกัดการซื้อน้ำมันประจำวันยังคงใช้ต่อไป

หลังจากนั้นในการรายงานสรุปต่อคณะรัฐมนตรีทางออนไลน์ วิเจเศเกรากล่าวว่า “รัฐบาลจะหารือร่วมกับภาคขนส่งสาธารณะเพื่อปรับราคาต้นทุนให้สอดคล้องไปกับการเพิ่มล่าสุด” อ้างอิงรายงานจากรอยเตอร์

นักเศรษฐศาสตร์ต่างออกมาเตือนว่า การขึ้นราคาทั้งน้ำมันและการขนส่งสาธารณะจะทำให้อาหารและสินค้าอื่นๆต้องกระทบตามไปด้วย

ทั้งนี้หนึ่งในประชาชนชาวศรีลังกา โมฮัมหมัด อีร์ฟาน( Mohammad Irfan) อาชีพนักธุรกิจที่กำลังยืนต่อเข้าคิวซื้อน้ำมันที่ปั้มแห่งหนึ่งในกรุงโคลัมโบและรอมานานถึง 4 ชั่วโมงแล้วแสดงความเห็นว่า “ไม่เพียงแต่ปัญหาน้ำมัน ราคาสินค้าผู้บริโภค ทุกสิ่งแพงไปหมด ราคาอาหารก็แพงมากๆ”

อีร์ฟานกล่าวต่อว่า “เป็นความยากลำบากสำหรับคนจน คนชนชั้นกลาง พวกเขากำลังเผชิญต่อปัญหาทุกวัน”

วิกรมสิงเหกล่าวว่า เขาเรียกร้องให้ประชาชนศรีลังกาทำงานจากบ้านเพื่อลดการใช้พลังงานและเป็นการบริหารวิกฤตพลังงาน” และเจ้าหน้าที่รัฐจะทำงานที่สำนักงานก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งจากหัวหน้าของสถาบันเท่านั้น

มาตรการเพิ่มราคาน้ำมันศรีลังกาเป็นที่ยอมรับในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ที่ระบุว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลแต่ยอมรับว่าผลกระทบระยะสั้นจะเจ็บปวดโดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนยากจน

ไทม์สออฟอินเดียรายงานว่า วิกรมสิงเหหารือทางโทรศัพท์ในวันจันทร์(23)ร่วมกับ ซาแมนธา พาวเวอร์( Samantha Power)ผู้นำขององค์การ USAID ของสหรัฐฯซึ่งก่อนหน้าพาวเวอร์เคยดำรงตำแหน่งอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำสหประชาชาติในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา

การหารือเกี่ยวข้องที่ว่า USAID ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหาผลกำไรอยู่ภายใต้รัฐบาลสหรัฐฯจะสามารถให้การช่วยเหลือศรีลังกาทางด้านวิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจได้อย่างไร

โดยในแถลงการณ์ที่ออกมาจากโฆษกประจำ USAID ในตอนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้อำนวยการพาวเวอร์แสดงความเห็นใจต่อชาวศรีลังกาที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บในเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองเมื่อต้นเดือนนี้ เธอเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือต่อประชาชนศรีลังกาและให้คำมั่นที่จะให้การช่วยเหลือประเทศผ่านวิกฤต เธอยังย้ำความจำเป็นของการปฎิรูปทางการเมืองและเศรษฐกิจในทันทีเพื่อเรียกเสียงศรัทธาจากประชาชนศรีลังกา”

นอกจากนี้แถลงการณ์ยังกล่าวต่อว่า “พาวเวอร์ย้ำเตือนว่าทาง USAID กำลังเปลี่ยนทิศทางของโครงการของตัวเองที่กำลังดำเนินอยู่ในศรีลังกาเพื่อช่วยแก้ปัญหาความจำเป็นเร่งด่วนของชุมชนชายขอบและกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดระหว่างที่คนเหล่านี้กำลังเผชิญกับการช็อกทางเศรษฐกิจและที่ซ้ำเติมด้วยการปรับเพิ่มราคาอาหาร เชื้อเพลิง และปุ๋ยเนื่องมาจากสงครามของรัสเซียในยูเครน”

โฆษกกล่าวว่า ผู้นำ USAID ได้ยืนยันกับวิกรมสิงเหว่าทาง USAID จะทำงานใกล้ชิดกับผู้บริจาคอื่นๆ เป็นต้นว่า IMF เวิลด์แบงก์ กลุ่ม G-7 และอื่นๆในการให้การสนับสนุนศรีลังการะหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้


กำลังโหลดความคิดเห็น