เอเอฟพี - ตำรวจอิสราเอลเปิดฉากการปะทะรอบใหม่วันศุกร์ (22 เม.ย.) ที่มัสยิดอัลอักซอ ในเมืองเยรูซาเลม ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ประท้วงปาเลสไตน์ หลังอ้างพบมีการโยนหินใส่กำแพงตะวันตกตอนตี 4 จุดที่ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้ของชาวคริสต์และชาวยิว อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 เมลาเนีย ทรัมป์ บุตรสาวทรัมป์ อิวองก้า ทรัมป์ และโป๊ปฟรานซิสเคยเสด็จมาอธิษฐานแล้ว การปะทะที่มัสยิดอัลอักซอทำให้คณะรัฐมนตรีประเทศอ่าวอาหรับออกมาประณาม และองค์การสหประชาชาติออกมาแสดงความวิตก
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (22 เม.ย.) ช่างภาพเอเอฟพีรายงานว่า ตำรวจอิสราเอลใช้กำลังบุกเข้าไปมัสยิดอัลอักซอในวันศุกร์ (22) และเริ่มปะทะกับผู้ประท้วงปาเลสไตน์คนรุ่นใหม่ และยิงทั้งแก๊สน้ำตาและกระสุนยางใส่แต่ถูกตอบโต้กลับมาด้วยก้อนหิน
ทั้งนี้ ตำรวจอิสราเอลแถลงว่า ผู้ประท้วงปาเลสไตน์เริ่มต้นโยนก้อนหินใส่กำแพงตะวันตก (Western Wall) ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์และชาวยิว ตั้งแต่เวลา 04.00 น. โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ย้ำว่า “ตำรวจใช้กำลังขับไล่ฝูงชนเพื่อต้องการยุติความรุนแรง”
องค์กรกาชาดเสี้ยววงเดือนแดงของปาเลสไตน์แถลงว่า มีชาวปาเลสไตน์ 14 คนถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และหนึ่งในนั้นมีอาการสาหัส
ธาเออร์ (Thaer) หนึ่งในผู้แสวงบุญชาวปาเลสไตน์วัย 22 ปี กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า “ผมตื่นขึ้นมาหลังจากเสียงการปะทะหลังการสวดภาวนาแล้ว”
ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกว่า 200 คนที่ส่วนใหญ่เป็นชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะทั้งในมัสยิดและรอบมัสยิดอัลอักซอ
ผู้แสวงบุญชาวปาเลสไตน์จำนวนมากต่างไม่พอใจที่มีการส่งกำลังตำรวจอิสราเอลเป็นจำนวนมาก และอีกทั้งยังมีผู้แสวงบุญชาวยิวมักมาที่ “เนินพระวิหาร” (Temple Mount) ของชาวยิวที่ตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับมัสยิดอัลอักซอ
และหนึ่งในผู้แสวงบุญชาวปาเลสไตน์ออกมาเปิดเผยว่า การปะทะเกิดมาจากความตึงเครียดเนื่องมาจากตำรวจอิสราเอลปิดกั้นทางเข้าสู่มัสยิดอัลอักซอ
โดย อาลา ซอร์บา (Alaa Zorba) วัย 45 ปีเจ้าของร้านขายของชำชาวปาเลสไตน์ที่มีร้านตั้งอยู่ในเส้นทางหลักสำหรับการเข้าไปแสวงบุญของเหล่าชาวมุสลิมที่มัสยิดอัลอักซอ ชี้ว่า มีการปฏิบัติอย่าง 2 มาตรฐานของตำรวจอิสราเอลที่เฝ้าอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้า โดยซอร์บา กล่าวว่า ตำรวจอิสราเอลตรวจเอกสารของผู้แสวงบุญชาวปาเลสไตน์ที่ต้องการเข้าไปด้านในมัสยิดอัลอักซอเพื่อสวดภาวนา แต่ทว่าปฏิเสธห้ามเข้าโดยที่ไม่ยอมให้เหตุผล และสั่งให้ผู้แสวงบุญรายนี้ให้ไปใช้ทางเข้าอื่นแทน แต่ทว่าไม่นานหลังจากนั้นเจ้าหน้าที่คนเดียวกันนี้กลับอนุญาตให้ผู้แสวงบุญชาวยิวผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
ความรุนแรงเกิดขึ้นในมัสยิดอัลอักซอถูกหยิบยกในการประชุมรัฐมนตรีชาติอ่าวอาหรับที่จอร์แดนในวันพฤหัสบดี (21) โดยในที่ประชุมระบุว่า เทลอาวีฟสมควรต้องให้การเคารพต่อสถานะของสถานที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างเป็นทางการโดยกระทรวงกิจการอิสลามของราชอาณาจักร
เอเอฟพีรายงานว่า เหล่ารัฐมนตรีอาหรับประณามการโจมตีของอิสราเอลต่อกลุ่มผู้แสวงบุญที่มัสยิดอัลอักซอ พร้อมกับเรียกว่า เป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรงต่อความรู้สึกของชาวมุสลิมทุกที่ในโลก
ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยาเอล เลมเพิร์ต (Yael Lempert) และเจ้าหน้าที่การทูตระดับสูง ฮาดี อามร์ (Hady Amr) ได้เยือนภูมิภาควานนี้ (21) และหลังจากพบกับคนทั้งคู่ รัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ยาอีร์ ลาปิด (Yair Lapid) แถลงยืนยันว่า เทลอาวีฟรักษาและจะยังคงรักษาสถานะพิเศษของเนินพระวิหารต่อไป โดยลาปิดใช้ชื่อเรียกมัสยิดอัลอักซอในคำเรียกขานของชาวยิวในอิสราเอล
ขณะเดียวกัน ราวินา ชามดาซานี (Ravina Shamdasani) โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ OHCHR ออกมาแสดงความวิตกเกี่ยวกับการปะทะระหว่างตำรวจอิสราเอลและกลุ่มผู้ประท้วงชาวปาเลสไตน์ว่า “เรามีความวิตกเป็นอย่างมากจากความรุนแรงที่ถูกยกระดับขึ้นมาในดินแดนยึดครองปาเลสไตน์และอิสราเอลในเดือนที่ผ่านมา”
และกล่าวต่อว่า “การใช้ความรุนแรงของตำรวจอิสราเอลส่งผลทำให้เกิดการบาดเจ็บเป็นจำนวนมากในกลุ่มผู้แสวงบุญและเจ้าหน้าที่ทั้งในและรอบมัสยิดอัลอักซอนั้นต้องถูกตรวจสอบทันที อย่างเป็นกลาง มีความเป็นอิสระและโปร่งใส”
ในแถลงการณ์ยังย้ำว่า ผู้ที่รับผิดชอบต่อความรุนแรงใดๆ สมควรต้องนำเข้าสู่กระบวนการทางยุติธรรมและนโยบาย รวมไปถึงกระบวนการต่อการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ต้องได้รับการทบทวนในมุมมองเพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรงที่อาจจะเกิดได้ในอนาคต
ทั้งนี้ ราวินา ชามดาซานี กล่าวว่า การกระทำของกองกำลังความมั่นคงอิสราเอลเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 เม.ย.และถูกบันทึกวิดีโอคลิปเป็นจำนวนมาก สร้างความวิตกขั้นร้ายแรงถึงการใช้กำลังอย่างแพร่หลายอย่างไม่จำเป็น และทำโดยไม่เลือกหน้า
เธอชี้ว่าความตึงเครียดในเมืองเยรูซาเลมยังส่งผลกระทบไปยังพื้นที่อื่นๆ และได้กล่าวหยิบยกไปถึงปฏิบัติการทหารอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์ โดยเฉพาะที่เจนิน (Jenin) และการใช้อาวุธปืนของกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์นั้นทำให้พลเรือนปาเลสไตน์ตกอยู่ในความเสี่ยงสูง
ซึ่งการใช้กำลังบุกจับของฝ่ายอิสราเอลในเขตเวสต์แบงก์สร้างความวิตกต่อยูเอ็นว่าอาจจะมีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ การปฏิบัติต่อชาวปาเลสไตน์อย่างไม่เหมาะสมและการจับกุมอย่างไม่เลือกหน้า
และในตอนท้ายโฆษกหญิงกล่าวว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ OHCHR ของมิเชล บาเชเลต์ (Michelle Bachelet) ขอเรียกร้องให้เกิดความสงบและให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ