ชะตากรรมแบบนี้มิใช่สิ่งที่คุณยายนาเดียอา ทรูบคานิโนวา คาดหวังว่าจะต้องประสบในวัยไม้ใกล้ฝั่ง 70 ปีบริบูรณ์ คุณยายผู้ยากไร้ต้องดั้นด้นโบกรถหลายต่อในอันที่จะเดินทางจากหมู่บ้านในเขตมิกอูลชี ชายขอบของแคว้นเคียฟ ไปยังเมืองบูชา แผ่นดินนองเลือดเพราะผู้คนหลายร้อยรายถูกยิงตายเกลื่อนเมือง
ทั้งนี้ คุณยายนาเดียอา ต้องเทียวไปเทียวมาวันแล้ววันเล่า เพื่อตามหาศพของบุตรชาย! และยังต้องยื่นเอกสารขอรับร่างไร้วิญญาณของเขา ซึ่งคุณยายต้องสวดมนต์ลุ้นให้ใบอนุมัติการเบิกศพนำกลับบ้านออกมาถึงมือเธอได้ทันก่อนที่การตรวจสภาพของทุกๆ ศพทั้งหมดในล็อตเดียวกับศพลูกชาย จะเสร็จสิ้นแล้วร่างไร้วิญญาณทั้งหมดจะถูกเคลื่อนย้ายไปฝังรวมแบบอนาถา ความปรารถนาสูงสุดของเธอมีอยู่ว่า ขอดูแลบุตรชายอย่างดีที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยการช่วยให้ลูกได้รับการฝังที่บ้านโดยมีบาทหลวงทำพิธีมิสซาปลงศพอย่างสมบูรณ์แบบ ดั่งที่ชาวคริสต์คนหนึ่งพึงได้รับ
สารพัดคำถามดังระรัวในความคิดคำนึง พร้อมกับกระหน่ำใส่จิตใจของคุณยายให้บอบช้ำหนักหนา ความรู้สึกของคุณยายนาเดียอา หนักอึ้งเฉกเช่นเดียวกับเสื้อกันหนาวตัวโตและรองเท้าบู๊ตราคาถูกที่คุณยายต้องสวมใส่ป้องกันความหนาวยะเยือกของช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ
หนุ่มใหญ่วัย 48 ปี นามว่า วาดิม ลูกชายหัวปีของคุณยาย ไปเมืองบูชาทำไม ทั้งที่ทราบกันดีว่าทหารรัสเซียที่นั่นโหดร้ายกว่าพวกที่มายึดครองเขตมิกอูลชี ซึ่งบอกชาวบ้านว่าถ้าไม่ต่อสู้ขัดขืนกัน ก็จะไม่มีใครถูกทำร้าย นอกจากนั้น คุณยายอยากทราบว่าใครกันที่ยิงวาดิม ตอนที่เขาขับรถบุโรทั่งไปตามถนนยาบลันสกา ถนนแห่งการสังหารโหดในเมืองบูชา ซึ่งเป็นบริเวณที่พบศพมากมายถูกยิงทิ้งคาท้องถนน เหนืออื่นใด ทำไมคุณยายต้องเสียบุตรชายในช่วงจังหวะเพียงหนึ่งวันก่อนที่พวกรัสเซียจะถอนกำลังออกไป
เมื่อมีคนมาส่งข่าวว่า วาดิมถูกยิงเสียชีวิตและถูกพักรอไว้ที่เพิงพักศพชั่วคราวแห่งหนึ่งในเมืองบูชา คุณยายต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งสัปดาห์ในการตามหาศพของลูก ต่อด้วยการยื่นเอกสารขอนำศพลูกชายกลับบ้าน เพื่อไปฝังที่สุสานในท้องถิ่นอย่างเหมาะสม ภารกิจดังกล่าวไม่ง่ายเลย ในเมื่อวาดิม เป็นหนึ่งในหลายร้อยศพที่ทางการยูเครนต้องตรวจสอบและบันทึกข้อมูลการถูกสังหาร เพื่อที่จะนำไปใช้เป็นหลักฐานในคดีอาชญากรรมสงคราม อันเป็นประเด็นสำคัญระดับโลกไปแล้ว
คุณยายถูกลูกชายทอดทิ้ง เขาอยู่ในกองศพที่ถูกปลิดชีพ ณ เมืองบูชา
คุณยายนาเดียอา เป็นหนึ่งในผู้ชรามากมายที่ถูกทอดทิ้งไว้ที่บ้าน ตลอดจนผู้เฒ่าที่ขออยู่เฝ้าบ้านในห้วงเวลาที่ลูกสาวและหลานสาวหลายล้านชีวิตพากันลี้ภัยสงครามไปยังประเทศอื่น หรือไปหลบในแคว้นต่างๆ ที่ห่างไกลกระสุนปืนใหญ่ และจรวดสังหารของรัสเซีย
เมื่อกองกำลังรัสเซียถอนออกจากบรรดาชุมชนรอบแคว้นเคียฟ ผู้ชราเหล่านี้เป็นคนกลุ่มแรกที่มาปรากฏตัวบนถนนสายเวิ้งว้าง หรือไม่ก็จะคอยส่องมองสังเกตการณ์ผ่านรั้วประตู หรือไม่ก็จะแบกถุงอาหารบริจาค เดินกระย่องกระแย่งกลับเข้าบ้านเรือนอันหนาวยะเยือก
แต่ชะตาชีวิตของคุณยายนาเดียอา ย่ำแย่หนักหนากว่านั้น คุณยายและผู้ชราจำนวนมหาศาลต้องตกอยู่ในความทุกข์ขมตรมใจ เพราะต้องเผชิญกับข่าวร้ายว่าลูกหลานของพวกตนกลายเป็นหนึ่งในผู้พลีชีพเพื่อชาติในสงครามที่อุบัติขึ้นเพราะการรุกรานของรัสเซีย
ครั้งสุดท้ายที่คุณยายนาเดียอา ได้เห็นบุตรชาย คือวันพุธที่ 30 มีนาคม 2022
ตอนแรก คุณยายคิดว่าวาดิม แค่ไปเดินฟื้นฟูสภาพร่างกายที่คุณหมอสั่งให้ทำหลังจากที่ผ่านการรักษาอาการหลอดเลือดในสมองตีบ เมื่อบุตรชายหายหน้าไป คุณยายก็คาดว่าเขาอาจจะขับรถไปหาจุดที่มีสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพื่อโทร.ไปหาลูกชายวัยละอ่อนและอวยพรวันเกิดให้เจ้าตัวเล็กชื่นใจ
ดวงใจแม่ดิ้นรนสุดๆ เพื่อตามเอาศพลูกกลับไปฝังที่บ้านเกิด ให้ได้รับพิธีมิสซาปลงศพอย่างสมบูรณ์แบบ
นานกว่าหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว คุณยายนาเดียอาจึงพบสุสานชั่วคราวที่มีศพของวาดิม วางพักไว้ปะปนกับศพต่างๆ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน ทั้งนี้ คุณยายชี้ได้เลยว่าถุงเก็บศพอันไหนที่มีร่างไร้วิญญาณของวาดิมอยู่ข้างใน เพราะบุตรชายคนนี้ตัวสูงเหลือเกิน เท้าแข็งทื่อข้างหนึ่งของเขาโผล่ทะลุรูตรงปลายถุงซิปห่อศพ
โดยที่ต้องกลั้นน้ำตาสุดความสามารถ คุณยายนำผ้าพันคอไปผูกถุงไว้เป็นเครื่องสังเกตเมื่อกลับมาชี้ศพที่จะขอนำกลับไปมิกอูลชี
เมื่อได้พบกันแล้ว ปัญหาถัดไปคือทุกศพตรงนั้นจะถูกลำเลียงขึ้นรถห้องเย็นที่จอดด้านหน้าสุสาน รอเวลาที่จะถูกสั่งให้เคลื่อนย้ายสู่ขั้นตอนต่อไป
ดังนั้น เมื่อคุณยายนาเดียอา ในฐานะมารดา ทำการแจ้งระบุตัวตนของศพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณยายต้องรีบหาเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบการตรวจสอบศพของวาดิม เพื่อขอให้เร่งออกเอกสารอนุมัติการเคลื่อนย้าย ซึ่งคุณยายต้องใช้ในการขอรับศพลูกกลับสู่ภูมิลำเนา
“ยายกลัวว่าถ้าได้เอกสารไม่ทัน พอพวกเขาตรวจศพเสร็จ พวกเขาก็จะเคลื่อนย้ายรถห้องเย็น ซึ่งยายจะไม่มีโอกาสได้ทราบว่าลูกจะถูกพาไปไหน แล้วยายจะไปตามเอาลูกกลับบ้านได้อย่างไร” คุณยายนาเดียอา บอกนักข่าวเอพีอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่รอเอกสาร คุณยายยังมีเรื่องที่ต้องคิดแก้ปัญหาขั้นถัดไปซึ่งหนักหนามากกว่า คือ คุณยายจะต้องหาหีบศพบรรจุร่างของบุตรชายเพื่อนำกลับมิกอูลชี ทั้งนี้ ราคาหีบศพถูกๆ สักหลังหนึ่งนั้นสูงถึง 90 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ซึ่งเท่ากับเงินบำนาญที่คุณยายได้รับจากรัฐบาลหนึ่งเดือนเต็มๆ
ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่หลวงสำหรับคนยากคนจน
คุณยายนาเดียอา ตกอยู่ในสภาพเดียวกับผู้ชรารายอื่นๆ ทั่วยูเครน คือไม่ได้รับเงินบำนาญนับตั้งแต่ประเทศเข้าสู่สภาวะสงคราม และแม้คุณยายมีอาชีพเสริมเล็กๆ คือการปลูกพืชผักขาย กระนั้นก็ตามตลอดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คุณยายต้องหลบซ่อนอยู่แต่ภายในบ้าน ไม่สามารถออกไปหยอดหัวพันธุ์มันฝรั่งลงดิน ดังนั้น หัวพันธุ์ที่มีหน่ออ่อนซึ่งทำเตรียมไว้ พากันเหี่ยวเฉาหมดสภาพ ไม่อาจนำไปเพาะปลูกให้ออกผลเป็นช่อหัวมันฝรั่งใหม่ๆ ได้
นานาปัญหาที่คุณยายนาเดียอา ต้องเผชิญมิได้มีเพียงเท่านั้น ชะตากรรมโหดร้ายยังหมั่นกระหน่ำซ้ำเติมแม่เฒ่าผู้ยากจน ผ่านเรื่องเล็กเรื่องน้อยต่างๆ ที่ชวนให้ทดท้อ เช่น โทรศัพท์มือถือซึ่งทรุดโทรมแก่ชราไม่น้อยหน้าผู้เป็นเจ้าของ คอยแต่จะหมดแบตเตอรี่ ในเวลาเดียวกัน คุณยายได้ลืมเบอร์โทรในของตนแล้ว ครั้นจะหันไปพึ่งลูกชายคนเล็ก ก็เป็นไปไม่ได้ ลูกชายคนนี้ตกงานและมีปัญหาเดือดร้อนส่วนตัวมากมายทีเดียว
หันไปรอบด้าน คุณยายได้แต่บอกตนเองว่า ไม่มีอะไรง่ายเลย
ปวดร้าวกับความจริงว่าลูกถูกยิงตายปุบปับ: “ยายไม่เหลืออะไรให้ฝันใฝ่ในชีวิตอีกแล้ว”
“ยายอยากจะเดินให้พ้นไปจากที่นี่ เพราะยายรู้สึกปวดใจเกินกว่าจะอยู่ไหว” คุณยายนาเดียอา บอกนักข่าวเอพี ซึ่งตามไปสัมภาษณ์ที่บ้านในมิกอูลชี พร้อมกับถ่ายภาพคุณยายซึ่งนั่งทดท้ออยู่ใต้รูปขาวดำของตัวคุณยายเองเมื่อครั้งอดีต ดวงตาเจิดจรัสของสตรีวัย 32 กะรัตในภาพนั้น เต็มไปด้วยพลังชีวิตอันเปี่ยมความมุ่งมั่น
ขณะที่ลูกสะใภ้และหลานๆ หอบหิ้วกันอพยพหนีภัยสงครามออกจากแคว้นเคียฟไปยังถิ่นอื่น คุณยายนาเดียอา นั่งอยู่ที่บ้าน ดูข่าวโทรทัศน์ตั้งแต่เมื่อวันแรกๆ ที่สงครามอุบัติขึ้น ข่าวที่ได้เห็นนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวที่ผู้คนแห่กันอพยพหลบหนีภัยสงคราม คุณยายรู้สึกเป็นห่วงลูกๆ หลานๆ ชาวยูเครนทุกคน พวกเขาจะหนีไปข้างไหนได้บ้างหนอ ที่หลับที่นอนจะมีกันหรือเปล่า แล้วยังเรื่องอาหารการกินอีกด้วย มีอะไรให้กินกันไหม แล้วพวกเขาจะตั้งต้นชีวิตใหม่กันได้อย่างไร คุณยายเปิดความในใจให้แก่นักข่าวเอพี
“ยายดูข่าวแล้วก็นึกสงสารพวกเขา” คุณยายว่าอย่างนั้น “มาตอนนี้ ยายก็ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกัน ยายรู้สึกสิ้นหวังอยู่ข้างในใจ ยายไม่รู้กระทั่งว่าจะบรรยายความรู้สึกเคว้งภายในใจได้อย่างไร ยายไม่สามารถกระทั่งจะมั่นใจว่ายายจะเอนตัวลงหนุนหมอนนอนหลับในวันนี้ แล้วจะตื่นขึ้นได้ในวันพรุ่ง”
เฉกเช่นเดียวกับผู้ชรามากมายในยูเครน คุณยายนาเดียอา ทุ่มเททำงานหนักโดยไม่นึกถึงตนเอง มุ่งมั่นแต่จะจัดหาสิ่งต่างๆ ให้แก่ลูกๆ ทั้งการศึกษาและทั้งชีวิตที่ดีกว่า
“ยายวางแผนชีวิตทุกอย่างล้วนแต่เพื่อให้แก่ลูก แต่ตอนนี้ ยายจะวางแผนชีวิตอะไรได้อีก ในเมื่อลูกชายคนหนึ่งนอนตายอยู่ในเมืองบูชา” คุณยายนาเดียอาเผยความในใจ กายสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกสิ้นหวังทุกข์ตรม
เพราะแม่ดั้นด้นอย่างที่สุด วาดิมจึงไม่ต้องเป็นศพอนาถา ร่างของเขาถูกฝังในสุสานบ้านเกิดอย่างเหมาะสม
ในวันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน หรือก็คือ 7 วันเต็มๆ ที่คุณยายได้อดทนรออย่างไม่ย่อท้อ คุณยายไปรอด้านหน้าสุสานเมืองบูชาอีกครั้งหนึ่ง แต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า คุณยายทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ม้าหิน ให้แดดอุ่นช่วยปลอบโยนร่างกายและจิตใจ “ยายขอพักในอากาศสบายๆ บ้าง เดี๋ยวยายจะกลับบ้าน พรุ่งนี้ยายจะกลับมาอีก”
ณ สุสานอีกแห่ง มีหญิงชราวัย 82 ปีคู่หนึ่งรออยู่ เมื่อเห็นรถตู้สีขาวเคลื่อนเข้ามาพร้อมหีบศพ คุณทวดขยับมือทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน แล้วรอดูสัปเหร่อประสานงานรับศพจากโชเฟอร์
คุณทวดทั้งสอง ซึ่งมีนามว่า เนียนีลา กับ เฮเลนา มาช่วยร้องเพลงในพิธีมิสซาปลงศพ โดยคุณทวดเพิ่งกล้าออกจากบ้านมาช่วยงานที่สุสาน หลังจากทหารรัสเซียถอนกำลังออกไปแล้ว
“ความเจ็บปวดที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับผู้เป็นแม่คือ การสูญเสียบุตรชาย” คุณทวดเนียนีลา กล่าวกับนักข่าวเอพี และบอกว่า “ไม่มีคำพูดใดจะพรรณนาความรู้สึกรวดร้าวนี้ได้เลย”
เมื่อบาทหลวงในเสื้อกาสุลาอันเป็นอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีมิสซา เดินมาถึงปลายหลุมศพ คุณทวดทั้งสองประคองกันไปยืนด้านข้าง ชายสองคนถือช่อดอกทิวลิปเข้าร่วมพิธี นอกจากนั้น มีชายอีกคนหนึ่งเดินมาสมทบ มีหมวกแก๊ปถืออยู่ในมือ ในเวลาไม่นาน บาทหลวงซึ่งดูว่าอ่อนล้าเหน็ดเหนื่อยก็ดำเนินพิธีเสร็จสิ้น สัปเหร่อบอกทุกคนว่า “จบพิธีครับ”
ชายอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมปากกาเส้นหมึกสีทอง และบนกางเขนบนหลุมศพ เขาเขียนข้อมูลศพว่าสตรีอายุ 69 ปี ถูกสังหารโดยกระสุนปืนใหญ่ ขณะทำอาหารข้างนอกตัวบ้าน
ข้างหลุมศพของสตรีท่านนี้ มีหลุมว่างจำนวนมากถูกขุดเรียงรายไว้เป็นแถวยาว รอรับบรรดาร่างไร้วิญญาณของผู้ที่ถูกทหารรัสเซียสังหาร ซึ่งจะถูกทยอยนำมาทำพิธีฝัง
ในที่สุด ณ สุสานเล็กๆ ของหมู่บ้านในเขตมิกอูลชี เมื่อวันเสาร์ที่ 16 เมษายน หลังจากที่วาดิม ทรูบคานิโนวา ถูกคร่าชีวิตอย่างทารุณและกลายเป็นศพอนาถา คุณแม่ของเขา – คุณยายนาเดียอา ดั้นด้นสุดความสามารถไปเอาศพของเขากลับบ้าน ให้ได้รับพิธีมิสซาปลงศพอย่างสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ วาดิมซึ่งอยู่ในโลงศพเรียบง่ายราคาถูก ที่คุณยายนาเดียอาได้รับบริจาค จึงได้กลับมาพร้อมหน้ากับคุณแม่และน้องชาย ขณะที่ภรรยาและลูกน้อยยังอยู่ห่างไกล
ในสุสานเล็กๆ กลางทุ่งท้ายหมู่บ้าน ภายใต้ฟากฟ้าสีเทาดั่งแผ่นเหล็กกระด้าง คุณยายนาเดียอาจับขอบโลงไว้แน่น คุกเข่าลงและร่ำไห้ แล้ววาดิมก็ถูกแผ่นดินกลบร่าง
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : เอพี)