ตำรวจอินโดนีเซียยิงแก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าสลายกลุ่มนักศึกษาหลายพันคนที่ออกมาชุมนุมประท้วงในกรุงจาการ์ตาเมื่อวานนี้ (11 เม.ย.) ท่ามกลางกระแสข่าวลือที่แพร่สะพัดมานานหลายสัปดาห์ว่า รัฐบาลมีแผนจะเลื่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีออกไป และอาจเสนอแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้ประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ครองอำนาจยาว
อินโดนีเซียมีกำหนดจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งถัดไปในปี 2024 ซึ่ง วิโดโด จะหมดสิทธิลงสมัคร เนื่องจากรัฐธรรมนูญอินโดนีเซียได้กำหนดเงื่อนไขการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีไม่เกิน 2 วาระ
อย่างไรก็ตาม บรรดารัฐมนตรีอาวุโสและพรรคการเมืองหลายพรรคได้มีการเสนอแนวคิดเมื่อเดือน มี.ค. ให้เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปก่อน และแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่ออนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถดำรงตำแหน่งเกิน 2 สมัยได้
นักศึกษามหาวิทยาลัยราว 2,000 คนได้ไปรวมตัวกันที่ด้านนอกสภาผู้แทนราษฎรอินโดนีเซียเมื่อวันจันทร์ (11) โดยตลอดช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการชุมนุมประท้วงลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ
“เราขอเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรจงอย่าได้ทรยศต่อรัฐธรรมนูญด้วยการแก้ไขมัน และเราขอคัดค้านการเลื่อนเลือกตั้งในปี 2024” ลุตฟี ยูฟรีซาล หนึ่งในผู้ประสานงานของกลุ่มนักศึกษา ระบุในถ้อยแถลง
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า หลังจากนั้นไม่นานตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาและปืนฉีดน้ำแรงดันสูงขับไล่กลุ่มผู้ชุมนุม ขณะที่ ฟาดิล อิมรอน ผู้บัญชาการตำรวจจาการ์ตา ออกมาชี้แจงว่า ตำรวจจำเป็นต้องทำเนื่องจากมีผู้ประท้วงบางส่วนรุมทำร้ายร่างกาย “อาเด อาร์มันโด” ซึ่งเป็นนักวิชาการที่แสดงจุดยืนสนับสนุนประธานาธิบดี วิโดโด
กระแสถกเถียงเกี่ยวกับการเลื่อนเลือกตั้งและขยายวาระดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีเริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา แม้ว่าตัว วิโดโด เองจะเคยออกมาปฏิเสธไอเดียนี้หลายครั้งแล้วก็ตามที
ล่าสุด ผู้นำอินโดนีเซียได้กล่าวย้ำอีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ (10) ว่า ทุกอย่างยังเป็นเพียงการ “คาดเดา” เท่านั้น
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีและผู้นำท้องถิ่นในปี 2024 ได้ถูกกำหนดวันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างชัดเจน” วิโดโด ทวีตข้อความ พร้อมเรียกร้องให้ประชาชน “อย่าได้ตื่นตระหนกไปกับเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองที่ไม่สลักสำคัญอะไร”
ประธานาธิบดี วิโดโด หรือที่คนอิเหนามักเรียกติดปากว่า “โจโกวี” ถือเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทว่าระยะหลังๆ ผู้คนเริ่มไม่พอใจมาตรการของรัฐในการแก้ไขปัญหาปากท้อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้อุปทานสินค้าขาดแคลน และราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้น
ที่มา : เอเอฟพี