รัฐบาลยูเครนออกมาชี้หน้ากล่าวหารัสเซียว่าก่ออาชญากรรมสงครามที่เมืองบูชา (Bucha) ชานกรุงเคียฟ ขณะที่เยอรมนี ฝรั่งเศส และอีกหลายประเทศต่างแสดงความสลดหดหู่รับไม่ได้กับภาพศพพลเรือนที่นอนตายเกลื่อนถนน
นายกเทศมนตรีเมืองบูชาระบุเมื่อวันเสาร์ (2 เม.ย.) ว่า มีพลเรือนประมาณ 300 คนถูกทหารรัสเซียสังหารในช่วงระยะเวลา 1 เดือนเศษๆ ที่เมืองนี้ถูกยึด ขณะที่รอยเตอร์รายงานว่าพบหลุมฝังศพหมู่และร่างผู้เสียชีวิตถูกทิ้งไว้บนถนน
กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ทันควัน โดยอ้างว่าฟุตเทจและภาพถ่ายศพในเมืองบูชา “เป็นอีกหนึ่งแผนการยั่วยุ” ของรัฐบาลยูเครน
มอสโกยืนยันมาโดยตลอดว่าไม่เคยล็อกเป้าโจมตีพลเรือน และปฏิเสธข้อหาก่ออาชญากรรมสงครามในระหว่าง “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” ในยูเครน
ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการพบศพในเมืองบูชา ยูเครนและพันธมิตรตะวันตกก็กล่าวหาทหารรัสเซียว่ายิงโจมตีพลเรือนแบบไม่เลือก โดยอ้างหลักฐานการทิ้งบอมบ์ใส่โรงพยาบาลแม่และเด็ก และการโจมตีโรงละครแห่งหนึ่งในเมืองมาริอูโปล (Mariupol) ซึ่งมีเด็กๆ และพลเรือนนับพันเข้าไปอาศัยหลบภัยการสู้รบ
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหลายคนเชื่อว่า การจะเอาตัวประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน หรือผู้นำรัสเซียคนอื่นๆ มาดำเนินคดีฐานก่ออาชญากรรมสงครามนั้นเป็นเรื่องยากมาก และอาจจะต้องใช้เวลาอีกนานหลายปีทีเดียว
- อะไรคือ “อาชญากรรมสงคราม”?
ศาลอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก (ไอซีซี) ได้ให้นิยามอาชญากรรมสงครามว่าหมายถึง “การละเมิดอย่างร้ายแรง” ต่ออนุสัญญาเจนีวา (Geneva Conventions) ซึ่งวางมาตรฐานในการปฏิบัติต่อผู้เป็นเหยื่อของสงครามอย่างมีมนุษยธรรม โดยการละเมิดนั้นยังรวมถึงการจงใจล็อกเป้าสังหารพลเรือน และการโจมตีเป้าหมายทางทหารที่อาจส่งผลให้มีพลเรือนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวน “มากเกินไป” (excessive)
สหภาพโซเวียตได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาเจนีวาในปี 1954 ทว่า รัฐบาลรัสเซียในปี 2019 ได้ขอยกเลิกการรับรองพิธีสาร 1 (Additional Protocol I) ซึ่งว่าด้วยการคุ้มครองผู้เสียหายของการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ แต่ยังคงเป็นภาคีต่อข้อตกลงส่วนที่เหลืออยู่
- ขั้นตอนการดำเนินคดีเป็นอย่างไร?
การิม ข่าน (Karim Khan) หัวหน้าอัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศ ระบุเมือเดือน มี.ค. ว่า เขาได้เริ่มเปิดการสอบสวนความเป็นไปได้ที่จะมีการก่ออาชญากรรมสงครามในยูเครน
ทั้งรัสเซียและยูเครนต่างก็ไม่ได้เป็นรัฐภาคีในอนุสัญญากรุงโรมที่ก่อตั้งไอซีซี อีกทั้งรัสเซียก็ไม่ให้การยอมรับอำนาจศาลแห่งนี้ด้วย แต่รัฐบาลยูเครนได้อนุญาตให้ไอซีซีดำเนินการตรวจสอบความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินของตนนับตั้งแต่รัสเซียทำการผนวกคาบสมุทรไครเมียเมื่อปี 2014
รัสเซียอาจเลือกที่จะไม่ให้ความร่วมมือกับศาลไอซีซี ซึ่งก็หมายความว่าการไต่สวนจะต้องล่าช้าออกไป จนกว่าผู้ที่เป็นจำเลยจะถูกจับกุม
- มาตรฐานการพิสูจน์เป็นอย่างไร?
ศาลไอซีซีจะออกหมายจับก็ต่อเมื่อคณะอัยการสามารถแสดง “มูลเหตุอันมีเหตุผลควรเชื่อถือ” ว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามเกิดขึ้นจริง และการตัดสินลงโทษ (conviction) จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออัยการสามารถพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้จนสิ้นสงสัย
การตั้งข้อหาส่วนใหญ่นั้นยังจะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยมี “เจตนา” (intent) กระทำการดังกล่าว ซึ่งวิธีหนึ่งก็คืออัยการจะต้องแสดงให้เห็นว่าในพื้นที่นั้นๆ ไม่มีเป้าหมายทางทหารอยู่เลย และการโจมตีไม่ใช่แค่เพียงอุบัติเหตุ
“หากการโจมตีลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเห็นได้ชัดว่าเป็นยุทธศาสตร์โจมตีพลเรือนในเขตเมือง นั่นก็จะเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักอันส่อแสดงถึงเจตนาได้” อเล็กซ์ วิตทิง อาจารย์อาคันตุกะ (visiting professor) จากโรงเรียนกฎหมายแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้ความเห็น
- ใครบ้างที่อาจถูกตั้งข้อหา?
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การดำเนินคดีฐานก่ออาชญากรรมสงครามอาจพุ่งเป้าไปที่ทหาร ผู้บัญชาการ หรือประมุขของรัฐที่ก่อสงคราม ซึ่งในกรณีนี้อัยการอาจนำเสนอหลักฐานว่า ปูติน หรือผู้นำรัสเซียคนอื่นๆ ก่ออาชญากรรมสงครามโดยออกคำสั่งตรงให้กองทัพโจมตีอย่างผิดกฎหมาย หรือล่วงรู้ว่ามีการก่ออาชญากรรมขึ้น แต่ไม่ดำเนินการยับยั้ง
- เหตุใดจึงเอาผิดได้ยาก?
ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า แม้การทิ้งระเบิดใส่โรงละคร และโรงพยาบาลแม่และเด็กในเมืองมารีอูโปลดูเหมือนจะเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมสงคราม แต่การที่ศาลจะตัดสินว่าผู้นำรัสเซียมีความผิดจริงนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
นอกจากความยุ่งยากในการพิสูจน์เจตนาและการเชื่อมโยงว่าผู้นำรัสเซียเกี่ยวข้องโดยตรงกับการโจมตีในแต่ละครั้งหรือไม่แล้ว อัยการยังต้องหาหลักฐานจากพื้นที่สู้รบ รวมถึงสอบปากคำพยานผู้เห็นเหตุการณ์ ซึ่งอาจจะหวาดกลัวหรือลังเลที่จะให้ข้อมูล
ในกรณีของยูเครน อัยการศาลไอซีซีจะต้องไปไล่ดูคลิปวิดีโอ หรือภาพถ่ายต่างๆ ที่พอจะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดได้
การพิสูจน์ความผิดว่ายากแล้ว การจะนำตัวผู้กระทำผิดมาขึ้นศาลยิ่งยากเป็นทวีคูณ เพราะแน่นอนว่ารัสเซียคงปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในการจับกุมผู้ต้องหาตามหมายศาล และไอซีซีก็จะต้องคอยติดตามว่าผู้ที่กระทำผิดนั้นจะเดินทางออกไปยังประเทศอื่นๆ ที่สามารถทำการจับกุมได้หรือไม่
ที่มา : รอยเตอร์