เอเจนซีส์ - กองทัพยูเครนยืนยันนายพลรัสเซียคนที่ 5 เสียชีวิตเมื่อวานนี้ (19 มี.ค.) ที่เมืองเคอร์ซอน ขณะที่มีรายงานประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ออกคำสั่งปลดเจ้าหน้าที่เครมลินถึง 1,000 คน หวั่นอาจตกเป็นเป้าถูกลอบสังหารจากคนใกล้ตัว
บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันศุกร์ (18 มี.ค.) ว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ในเดือนกุมภาพันธ์สั่งปลดเจ้าหน้าที่ใกล้ชิดในทำเนียบเครมลินถึง 1,000 คนในคราวเดียวกัน
อ้างอิงจากเดลีบีสต์ พบว่า ในกลุ่มเจ้าหน้าที่ซึ่งถูกสั่งปลดนั้นมีตั้งแต่พ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา โดยอ้างอิงจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่รัสเซีย
ผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองลับฝรั่งเศสจากแผนกความมั่นคงภายนอก DGSE เคยทำหน้าที่วางแผนส่งสายลับออกไปปฏิบัติการ เปิดเผยกับเดลีบีสต์ว่า เขาเชื่อว่า "ความพยายามลอบสังหารน่าจะมาจากภายในเครมลินไม่ใช่มาจากเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติ " และเป้าประสงค์อาจเพื่อต้องการให้สงครามยูเครนยุติ
การใช้ยาพิษเป็นสิ่งที่ชื่นชอบสำหรับรัสเซีย ยกตัวอย่างเช่น ผู้นำฝ่ายค้านรัสเซีย อเล็กเซ นาวาลนี ที่เกือบเสียชีวิตจากสารพิษทำลายประสาทโนวีช็อกในไซบีเรีย เมื่อสิงหาคม ปี 2020 ซึ่งอดีตสายลับฝรั่งเศสกล่าวว่า ปูตินนิยมการใช้ยาพิษสำหรับการลอบสังหาร และเขายังชี้ต่อว่า ถึงแม้ว่าการใช้ยาพิษในหลายประเทศสามารถกระทำได้แต่ไม่มีใครเชี่ยวชาญได้มากเท่าพวกรัสเซีย
แต่ทว่าการใช้ยาพิษเพื่อลอบสังหารปูตินนั้นไม่ง่าย โดยแหล่งข่าวระดับสูงชั้นในระดับองค์กรของกระทรวงรัสเซียชี้ว่า ในเดือนกุมภาพันธ์มีการเปลี่ยนชุดเจ้าหน้าที่ทำงานยกชุด 1,000 คนที่ทำงานใกล้ชิดให้ผู้นำรัสเซียในชีวิตประจำวัน ซึ่งทั้งพ่อครัว พนักงานซักล้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และเลขา ถือเป็นคนที่ใกล้ชิดและต้องทำงานให้ปูติน และมีโอกาสสูงที่จะวางยาพิษเขาได้ และได้ทำการเปลี่ยนให้ชุดใหม่เข้ามาแทน
เดลีบีสต์อธิบายว่า เคยมีการพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีสหภาพโซเวียต โจเซฟ สตาลิน ในปี 1952 จากฝีมือของอดีตประธานาธิบดีจีน เหมา เจ๋อตง มาแล้วด้วยการส่งเชฟเข้าไปในสหภาพโซเวียต
โดยในปี 1952 ซึ่งเป็นปีที่โรงแรมปักกิ่งตั้งอยู่ที่จัตุรัสมายาคอฟสกี (Mayakovsky) เกือบใกล้เสร็จเพื่อการเฉลิมฉลองสัมพันธภาพซิโน-รัสเซีย พบว่าประธานเหม๋าได้จัดส่งเชฟชาวจีนคนโปรดมายังกรุงมอสโกสำหรับการเปิดภัตตาคารอาหารจีนที่อยู่ภายในโรงแรม และถือเป็นภัตตาคารอาหารจีนเพียงแห่งเดียวในกรุงมอสโกเวลานั้น
ทั้งนี้ เชฟชื่อดังแท้จริงแล้วเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งมาเพื่อลอบสังหารสตาลินโดยเฉพาะ แต่ฝ่ายโซเวียตไหวตัวทัน สั่งให้ KGB เข้าจัดการเขาก่อน พวก KGB ใช้มีดปังตอเฉาะไปที่ศีรษะดับชีพนักฆ่า อ้างอิงจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้ที่เปิดอย่างเป็นทางการในปี 1955 พบว่าวิญญาณของพ่อครัวนักฆ่ายังคงล่องลอยอยู่ภายในโรงแรมเพื่อตามหาสตาลิน เดลีบีสต์รายงาน
ข่าวการเปลี่ยนตัวยกชุดของปูตินเกิดขึ้นในขณะที่กองทัพยูเครนในวันเสาร์ (19) ออกแถลงการณ์อ้างว่า มีนายพลรัสเซียจำนวน 5 คนเสียชีวิตไปแล้วนับตั้งแต่สงครามบุกยูเครนเริ่มมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์
เดอะมิเรอร์ สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (19) ว่า พล.ท.อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ (Andrey Mordvichev) ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของกองทัพเขตใต้รัสเซียเสียชีวิตในวันเสาร์ (19) และกลายเป็นนายพลรัสเซียคนที่ 5 ที่เสียชีวิต
อ้างอิงจากโอเลคซี อเรสโตวิช (Oleksiy Arestovych) อดีตที่ปรึกษาผู้สมัครลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน ในรายงานของสื่ออินเตอร์แฟกซ์ (Interfax) เปิดเผยว่า มอร์ดวิเชฟเสียชีวิตขณะที่กองกำลังทหารยูเครนเข้าทำลายที่ตั้งกองบัญชาการทหารตั้งอยู่ในลานบินชอร์โนเบยิฟกา (Chornobayivka) ใกล้กับสนามบินเมืองเคอร์ซอน (Kherson) ทางใต้ของยูเครน
เมืองเคอร์ซอนเป็นเมืองแรกในยูเครนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซีย แต่กองกำลังยูเครนพยายามต่อสู้เพื่อยึดคืน โดยในวันเสาร์ (19) ฝ่ายยูเครนยังอ้างว่าสามารถสังหารกองกำลังรัสเซียไปทั้งหมด 14,400 นาย แต่สหรัฐฯ ออกมาประเมินว่า รัสเซียน่าจะสูญเสียไปราว 7,000 นาย บิสซิเนสอินไซเดอร์รายงาน
เสนาธิการทหารบกยูเครนกล่าวผ่านแถลงการณ์ในวันเสาร์ (19) มีใจความว่า “เป็นผลจากยิงไปที่ข้าศึกจากฝีมือของกองกำลังยูเครน ทำให้ผู้บัญชาการกองกำลังที่ 8 ของเขตใต้กองทัพรัสเซีย พล.ท.อันเดรย์ มอร์ดวิเชฟ ถูกสังหาร”
ทั้งนี้ พบว่ายังมีเจ้าหน้าที่รัสเซียระดับสูงคนอื่นที่เสียชีวิตเช่นกัน ที่รวมไปถึงนายพลรัสเซียอีกคนที่เสียชีวิตในวันที่ 5 มี.ค. มาจากปฏิบัติการทางการทหารที่ล้มเหลวเนื่องมาจากใช้โทรศัพท์และวิทยุสื่อสารที่ถูกฝ่ายตรงข้ามดักฟังได้
และภายในแค่ 4 วันหลังการบุกเริ่มเมื่อวันที่ 28 ก.พ. นายพลรัสเซียคนแรกเสียชีวิต และแค่ภายใน 3 สัปดาห์ของการบุกยึดมีจำนวนผู้บัญชาการฝ่ายรัสเซียเพิ่มมากขึ้นที่ถูกสังหารระหว่างการสู้รบ
เดอะมิเรอร์ชี้ว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ชาติตะวันตกเชื่อว่า นายพลรัสเซียเหล่านี้ที่เสียชีวิตน่ามาจากการที่พวกเขาพยายามเข้าไปแนวหน้าของการสู้รบเพื่อสั่งการด้วยตนเองแทนที่จะอยู่หลังแนวรบเพื่อปลุกขวัญให้กองกำลัง
ทั้งนี้ เครมลินยังไม่ได้ยืนยันการเสียชีวิตของมอร์ดวิเชฟ