(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Putin pulling pages from NATO’s Kosovo playbook
By NIKOLA MIKOVIC
28/02/2200
สหรัฐฯและพันธมิตรนาโต้ กำลังรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อเพื่อทำให้ รัสเซีย และ ปูติน กลายเป็นปีศาจร้าย แต่ที่จริงแล้ว ผู้นำหมีขาวกำลังลอกเลียนยุทธศาสตร์ที่นาโต้เคยใช้ในยูโกสลาเวียเมื่อปี 1999 ตอนที่อ้างความชอบธรรมว่าต้องเข้าไปถล่มโจมตีเซอร์เบีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “การล้างชาติพันธุ์” ในดินแดนคอซอวอ ซึ่งอุดมด้วยถ่านหิน โดยคราวนี้ ปูติน ก็ให้เหตุผลว่าต้องเข้ารุกรานยูเครน เนื่องจากเคียฟ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” คนเชื้อสายรัสเซีย ในดินแดนดอนบาสส์ที่บริบูรณ์ด้วยถ่านหิน
ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ใครกำปั้นใหญ่กว่าก็ทำให้คนนั้นกลายเป็นฝ่ายถูกต้องขึ้นมาได้ ไม่มีที่ไหนอีกแล้วที่เรื่องนี้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งไปกว่าเมื่อตอนเกิดสงครามชิงดินแดนคอซอวอ (Kosovo) ในปี 1999 ตอนที่องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) เปิดฉากรณรงค์ทางอากาศถล่มโจมตีเซอร์เบีย –ที่ในเวลานั้นเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย
ดังนั้น ใช่หรือไม่ว่าประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กำลังนำเอายุทธศาสตร์อย่างเดียวกันนั้นเองมาใช่เล่นงานยูเครนในเวลานี้ --ยุทธศาสตร์ซึ่งพันธมิตรนาโต้นำโดยสหรัฐฯเคยใช้เล่นงานชาวเซอร์เบียในช่วงทศวรรษ 1990?
การปฏิบัติการทางทหารเพื่อการรุกโจมตีขนาดใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของนาโต้ ซึ่งมีชื่อรหัสเรียกว่า ยุทธการกองกำลังพันธมิตร (Operation Allied Force) กินเวลา 78 วัน ผลที่เกิดขึ้นมาก็คือ มีผู้คนตายไปอย่างน้อยที่สุด 2,500 คน และอีก 12,500 คนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่กองกำลังของชาวเซอร์เบียต้องยอมถอยออกมาจากจังหวัดคอซอวอ ทางตอนใต้ของตน ภายหลังมีการลงนามใน ข้อตกลงคูมาโนโว (Kumanovo Agreement) ที่เมืองคูมาโนโว ของประเทศมาซิโดเนียเหนือ (เวลานั้นประเทศนี้ยังใช้ชื่อว่า มาซิโดเนีย) เมื่อเดือนมิถุนายน 1999
(จำนวนผู้เสียชีวิตจากสงครามคราวนั้น ดูเพิ่มเติมได้ที่ http://www.xinhuanet.com/english/europe/2021-03/25/c_139833473.htm)
(ข้อตกลงคูนาโนโว ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.nato.int/kosovo/docu/a990609a.htm)
เมื่อกองทหารของชาวเซอร์เบียถอยออกไป กองทหารนาโต้ก็เคลื่อนเข้าสู่คอซอวอ ซึ่งเป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยถ่านหิน และมีการจัดตั้งคณะบริหารชั่วคราวของสหประชาชาติในคอซอวอ (United Nations Interim Administration Mission in Kosovo) ขึ้นมา อีก 9 ปีต่อมา ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2008 ทางการผู้กุมอำนาจในพริสตีนา (Pristina เมืองหลวงของคอซอวอ) ก็ได้ประกาศเอกราชตามลำพังฝ่ายเดียว และในวันนั้นเองมี 117 ประเทศซึ่งให้การรับรองว่า คอซอวอ เป็นรัฐเอกราช
(คอซอวอร่ำรวยด้วยถ่านหิน ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://balkangreenenergynews.com/kosovo-power-production-to-remain-heavily-dependent-on-coal/)
ในความเป็นจริงแล้ว คอซอวอเป็นเอกราชแยกตัวเป็นอิสระจากเซอร์เบียก็จริงอยู่ แต่ต้องพึ่งพาอาศัยฝ่ายตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา อย่างมากมาย
ปี 2016 ทางการในพริสตีนา อนุญาตให้สัมปทานสิทธิในการค้นหาถ่านหินจากดินแดนกว่าหนึ่งในสามของตน แก่บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งมีความเชื่อมโยงกับ พลเอกเวสลีย์ คลาร์ก (Wesley Clark) นายพลอเมริกันเกษียณอายุ ผู้ซึ่งรับตำแหน่งเป็น ผู้บัญชาการสูงสุดกองทหารพันธมิตรยุโรป (Supreme Allied Commander Europe) ของนาโต้ ระหว่างการรณรงค์ถล่มโจมตีเซอร์เบีย
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://balkaninsight.com/2016/09/13/kosovo-mulls-giving-wesley-clark-major-stake-in-coal-09-12-2016/)
ก่อนหน้าเปิดสงครามครั้งนั้น ฝ่ายตะวันตกได้พัฒนา “เหตุผลข้อโต้แย้งทางศีลธรรม” ขึ้นมาคัดค้านต่อต้านชาวเซอร์เบีย เพื่อจะได้อ้างว่านาโต้จำเป็นต้องเข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด “การล้างชาติพันธุ์” ในดินแดนคอซอวอ
เวลานี้ ผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน ก็ดูเหมือนกำลังใช้เหตุผลข้อโต้แย้งที่เหมือนกันมากๆ มาเล่นงานยูเครน โดยกล่าวหาเคียฟว่า กำลังกระทำการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” เล่นงานประชาชนผู้พำนักอาศัยอยู่ในเขตดอนบาสส์ (Donbas) ที่อุดมด้วยถ่านหินของยูเครน
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.forbes.com/sites/erictegler/2022/02/23/as-russian-forces-roll-into-eastern-ukraine-putin-grabs-yet-another-prizeores-and-energy/?sh=e6dbc7f75b85)
อันที่จริง ภายหลังจากที่ฝ่ายตะวันตกตัดสินใจรับรองคอซอวอแล้ว ปูตินได้เคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันนี้มาก่อนแล้ว 2 ครั้ง –ครั้งแรกในปี 2008 เมื่อรัสเซียรับรองเอกราชของแคว้นอับคาเซีย (Abkhazia) และแคว้นออสเซเชียใต้ (South Ossetia) ที่ประกาศแยกตัวจากจอร์เจีย ภายหลังสงครามรัสเซีย-จอร์เจีย และครั้งที่สองคือในเดือนกุมภาพันธ์นี้ เมื่อเครมลินประกาศรับรองเอกราชของสาธารณรัฐประชาชนโดเน็ตสก์ (Donetsk People’s Republic) และสาธารณรัฐประชาชนลูกันสก์ (Lugansk People’s Republic) ที่ประกาศแยกตัวจากยูเครน
ด้วยการกระทำในลักษณะเหมือนๆ กันเช่นนี้ ทั้งฝ่ายตะวันตกและรัสเซียจึงต่างสาธิตให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กฎหมายระหว่างประเทศเป็นตัวหนังสือที่ตายไปแล้ว และเป็นเพียงเครื่องมือชิ้นหนึ่งซึ่งผู้มีชัยชนะในสงครามใช้มาเล่นงานฝ่ายที่พ่ายแพ้สงครามเท่านั้นเอง
ในส่วนของฝ่ายตะวันตกนั้น เวลานี้กำลังเป็นผู้นำการรณรงค์ทางสื่อมวลชนอย่างเข้มแข็งเพื่อเล่นงานคัดค้านมอสโก และกำลังใช้ความพยายามอย่างกระตือรือร้นเพื่อประทับตรารัสเซียให้กลายเป็นปีศาจร้าย ด้วยวิธีการคล้ายๆ กันกับที่ชาวเซอร์เบียเคยถูกทำให้กลายเป็นปีศาจร้ายในระหว่างทศวรรษ 1990 มาแล้ว แท้ที่จริง การโฆษณาชวนเชื่อคือส่วนที่มีบทบาทสูงของการสู้รบขัดแย้งแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นมา และสำหรับคราวนี้ฝ่ายรัสเซียดูเหมือนเป็นฝ่ายปราชัยไปเรียบร้อยแล้วในสงครามสื่อมวลชน
(การตราหน้ารัสเซียให้กลายเป็นปีศาจ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.themoscowtimes.com/2021/01/14/no-one-benefits-from-renewed-demonizing-of-russia-a72606)
(การตราหน้าชาวเซอร์เบียให้กลายเป็นปีศาจ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theguardian.com/commentisfree/2008/jan/14/itstimetoendserbbashing)
ปูตินกระทั่งไม่ได้ใช้ความพยายามเพื่อเอาชนะความคิดจิตใจของประชาชนในยูเครนด้วยซ้ำไป แม้กระทั่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ไมดานในปี 2014 อำนาจละมุน (soft power) ของรัสเซียในชาติยุโรปตะวันออกแห่งนี้ ก็อยู่ในสภาพอ่อนปวกเปียก
(เหตุการณ์ไมดานในปี 2014 คือ การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลยูเครนโปรรัสเซียของประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูโควิช ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่ปลายปี 2013 จนกระทั่งเกิดการยึดอำนาจโค่นล้มยานูโควิชในต้นปี 2014 ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Euromaidan -ผู้แปล)
การรณรงค์ทางทหารมุ่งเล่นงานเคียฟในครั้งนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะทำให้ชาวยูเครนยิ่งรู้สึกเกลียดชังชาวรัสเซียมากขึ้น ก็เหมือนกับการปฏิบัติการของนาโต้ที่มุ่งเล่นงานเซอร์เบีย ได้กระตุ้นให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกต่อต้านตะวันตกขึ้นมาอย่างแรงกล้าในชาติแหลมบอลข่านแห่งนี้นั่นเอง
ในเวลานั้น ชาวเซอร์เบียจำนวนมากต่างคาดหมายกันอย่างไร้เดียงสาว่ารัสเซียจะเข้ามาช่วยเหลือต่อต้านพวกพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ ทว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ตรงกันข้าม เป็น วิกตอร์ เชร์โนมีร์ดิน (Victor Chernomyrdin) ผู้แทนพิเศษของรัสเซียนั่นเอง ที่บีบคั้นกดดันประธานาธิบดีสโลโบดัน มิโลเซวิช (Slobodan Milosevic) ของยูโกสลาเวียในขณะนั้น ให้ต้องยอมลงนามในเอกสารยอมจำนนในทางพฤตินัย
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.jstor.org/stable/10.7249/mr1351af.11)
นาโต้ไม่ได้เคลื่อนทหารของตนเข้าไปสู้รบในยูเครน แต่รัฐสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรนี้จำนวนมากยังคงส่งอาวุธเป็นตันๆ ไปให้แก่อดีตสาธารณรัฐโซเวียตแห่งนี้ เมื่อปี 1999 นั้น เซอร์เบียอาศัยตัวเองเท่านั้นในการต่อสู้กับกลุ่มทางการทหารทรงอำนาจที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติกลุ่มนี้
ยิ่งกว่านั้น หนึ่งปีภายหลังสงคราม วลาดิมีร์ ปูติน ที่ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีของรัสเซีย และอดีตประธานาธิบดีบิลล์ คลินตัน ของสหรัฐฯ ยังทำงานกันอย่างกระตือรือร้นในการเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในกรุงเบลเกรด เป็น ปูติน และผู้แทนของเขา เซียเก อิวานอฟ (Sergey Ivanov) นั่นเอง ที่แสดงบทบาทสำคัญมากในการโค่นล้มผู้นำของเซอร์เบียผู้นี้
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://meduza.io/en/feature/2020/10/08/the-regime-changers)
ในยูเครนเวลานี้ เป็นไปไม่ได้อย่างที่สุดที่จะมีผู้นำของนาโต้ไม่ว่าคนไหนยืนอยู่เคียงข้าง ปูติน และช่วยเหลือเขาในการโค่นล้มผู้นำ โวโลดีมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน รัสเซียต้องอาศัยตัวเองเท่านั้นในสงครามนี้
แม้กระทั่งพวกชาติพันธมิตรในนามของรัสเซีย ซี่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกอยู่ในองค์การสนธิสัญญาความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security Treaty Organization) อันได้แก่ อาร์เมเนีย, คาซัคสถาน, คีร์กีซสถาน, และทาจิกิสถาน ก็ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวในการสู้รบขัดแย้งครั้งนี้
มียกเว้นก็เพียง เบลารุส รายเดียวเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากการที่ประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ ลูกาเชนโก (Alexander Lukashenko) ยินยอมให้กองทัพรัสเซียใช้ดินแดนเบลารุสสำหรับการรุกรานยูเครน ปูตินอาจจะพยายามปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ซึ่งคล้ายคลึงกับยุทธศาสตร์ที่ นาโต้ นำไปใช้ในการเล่นงานเซอร์เบีย ทว่าฐานะที่ค่อนข้างอ่อนแอกว่าโดยเปรียบเทียบของเขาในเวทีระหว่างประเทศ ทำให้มีผลกระทบอย่างสำคัญต่อผลลัพธ์ของการรุกรานยูเครนของเขา
(ดูเพิ่มเติมเรื่องเบลารุสเข้าร่วมกับรัสเซียคราวนี้ได้ที่ https://asiatimes.com/2022/02/what-russias-hold-over-belarus-means-for-ukraine-and-syria/)
ยังมีความแตกต่างที่สำคัญยิ่งยวดอย่างอื่นๆ อีก ระหว่างสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในปี 1999 กับการสู้รบขัดแย้งกันระหว่างรัสเซียกับยูเครนแห่งปี 2022 อย่างหนึ่งก็คือ สงครามในยูเครนดูเหมือนจะมีความโหดเหี้ยมมากกว่า ณ ขณะนี้เป็นเรื่องยากที่จะวินิจฉัยเกี่ยวกับจำนวนผู้คนที่เสียชีวิตในยูเครน แต่ถ้าหากสงครามนี้ยืดเยื้อยาวนานไป 11 สัปดาห์ อย่างในกรณีที่เกิดขึ้นในยูโกสลาเวียแล้ว ก็แทบจะเป็นการแน่นอนทีเดียวว่าจำนวนคนตายในครั้งนี้จะสูงกว่าในครั้งนั้นเป็นอย่างมาก
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ความสูญเสียของ นาโต้ ในเซอร์เบียถือว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความสูญเสียซึ่ง รัสเซีย น่าจะได้รับหรือได้รับอยู่แล้วในยูเครน
ในปี 1999 นาโต้ ใช้ตัวแทนของพวกเขา ซึ่งก็คือกองกำลังจรยุทธ์ชาวชาติพันธุ์แอลบาเนีย ในการต่อส้กับกองทหารเซอร์เบีย ขณะที่กองทหารภาคพื้นดินของรัสเซียเวลานี้ต้องเข้าไปแทรกแซงโดยตรงเพื่อช่วยเหลือพวกตัวแทนของเครมลินในดินแดนดอนบาสส์
ข้อสุดท้าย มอสโกกำลังพยายามบรรลุผลลัพธ์ในยูเครน อย่างเดียวกับที่สหรัฐฯทำสำเร็จในเซอร์เบียในช่วงปี 1999 – 2000 นั่นก็คือ การสถาปนาอำนาจควบคุมในทางพฤตินัยเหนือประเทศที่ตนเองรุกรานเข้าไป และบังคับให้ประเทศนั้นต้องยอมรับรองว่า ดินแดนร่ำรวยแร่ธาตุพลังงานของตนเวลานี้ได้แยกตัวออกไปเป็นดินแดนเอกราชแล้ว จริงๆ แล้ว มิติด้านพลังงานของการสู้รบขัดแย้งในทั้งสองครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยมองข้าม
นิโคลา มิโควิช เป็นนักวิเคราะห์การเมืองอยู่ในเซอร์เบีย งานของเขาส่วนใหญ่โฟกัสที่เรื่องนโยบายการต่างประเทศของรัสเซีย, เบลารุส, และยูเครน โดยที่ให้ความใส่ใจเป็นพิเศษในเรื่องพลังงาน และ “การเมืองเรื่องสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซ”