กองกำลังรัสเซียยิงโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปทางตอนใต้ของยูเครนวันนี้ (4 มี.ค.) ส่งผลให้เกิดเพลิงไหม้รุนแรง ขณะที่ผู้นำยูเครนออกมาชี้หน้ากล่าวหามอสโกว่าจงใจ “ก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์”
หน่วยงานท้องถิ่นยืนยันล่าสุดว่า ค่ารังสีในบริเวณโรงไฟฟ้าซาปอริซเซีย (Zaporizhzhia) ยังไม่เพิ่มสูงขึ้น และอุปกรณ์ที่สำคัญๆ ยังไม่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้
ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนออกมาประณามมอสโกว่าคิดสร้างภัยพิบัตินิวเคลียร์ให้ซ้ำรอย “เชอร์โนบิล” พร้อมเผยว่าตนได้พูดคุยกับผู้นำหลายประเทศ รวมถึงประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เพื่ออัปเดตสถานการณ์เพลิงไหม้ที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้
ไบเดน เรียกร้องให้รัสเซียเร่งเปิดทางให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปในพื้นที่ เพื่อทำการดับไฟโดยด่วน
ภาพสดจากบริเวณโรงไฟฟ้าซาปอริซเซีย เผยให้เห็นแสงไฟจากการระเบิดสว่างวาบ และมีกลุ่มควันขนาดใหญ่เกิดขึ้น
ทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ออกมาเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการสู้รบในบริเวณใกล้ๆ กับโรงไฟฟ้าทันที
“การยิงโจมตีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่มีประเทศไหนเขาทำกันหรอก นอกจากรัสเซีย” เซเลนสกี กล่าวผ่านคลิปวิดีโอ “นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาติเรา และประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ รัฐก่อการร้ายกำลังเริ่มหันมาใช้วิธีก่อการร้ายด้วยนิวเคลียร์”
ผู้นำยูเครนยังร้องขอความช่วยเหลือจากนานาชาติ
“ถ้ามีการระเบิดเกิดขึ้นมันจะเป็นจุดจบของทุกอย่าง จุดจบของยุโรป... ยุโรปจะต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อหยุดยั้งทหารรัสเซียทันที”
อย่างไรก็ตาม หลังเหตุการณ์ผ่านไปหลายชั่วโมงทางการยูเครนได้ออกมาแถลงล่าสุดว่า โรงไฟฟ้าแห่งนี้ยังอยู่ในสถานะ “ปลอดภัย”
“ผู้อำนวยการโรงไฟฟ้าได้ออกมายืนยันเรื่องความปลอดภัยทางนิวเคลียร์” โอเลกซานดร์ สตารุค ผู้บัญชาการทหารประจำภูมิภาคซาปอริซเซีย ประกาศผ่านเพจเฟซบุ๊ก พร้อมเผยว่าจุดที่ได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้มีเพียงอาคารฝึก (training building) กับห้องปฏิบัติการอีกแห่งหนึ่งเท่านั้น
ด้าน IAEA ยืนยันว่า ได้รับแจ้งจากหน่วยงานกำกับกิจการนิวเคลียร์ของยูเครนว่า “ยังไม่พบความเปลี่ยนแปลงของระดับรังสีภายในโรงไฟฟ้าซาปอริซเซีย” และเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ “ไม่กระทบต่ออุปกรณ์สำคัญๆ และเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้าได้มีมาตรการบรรเทาความเสี่ยงแล้ว”
รัสเซียยกระดับการยิงโจมตีเมืองใหญ่ๆ ของยูเครนหลังปฏิบัติการรุกรานล่วงเข้าสู่วันที่ 8 ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตและอาคารบ้านเรือนที่พังเสียหายยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะทางตอนใต้ใกล้ๆ กับเมืองเคียร์ซอน (Kherson) ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่แห่งแรกของยูเครนที่ทัพรัสเซียบุกยึดได้สำเร็จ
ในการเจรจารอบ 2 ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ (3) รัสเซียยอมตกลงตามข้อเรียกร้องของยูเครนที่ขอให้เปิด “ระเบียงมนุษยธรรม” (humanitarian corridors) เพื่อให้พลเรือนสามารถหลบหนีออกจากพื้นที่สู้รบได้ แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะดำเนินการกันอย่างไร อีกทั้งไม่มีสัญญาณว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้ในเร็วๆ นี้
ที่มา : เอเอฟพี