“ไบเดน”ตกลงในหลักการจะประชุมสุดยอดกับ “ปูติน”ตามที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเสนอ ในเงื่อนไขที่ว่า “ถ้ามอสโกไม่บุกยูเครน” อย่างไรก็ตาม เครมลินเตือนว่าซัมมิตดังกล่าวนี้ยังไม่มีแผนการรูปธรรม ในอีกด้านหนึ่ง บริษัทอเมริกันเผยภาพถ่ายดาวเทียมที่พวกเขาบอกว่าแสดงให้เห็นรัสเซียซ่องสุมทหารห่างชายแดนยูเครนแค่ 15 กิโลเมตร ขณะเดียวกันการสู้รบระหว่างกองทัพฝ่ายกรุงเคียฟกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโปรมอสโกในยูเครนตะวันออกยังคงระอุ
สำนักประธานาธิบดีฝรั่งเศสแถลงเมื่อวันจันทร์ (21 ก.พ.) ว่า ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง สามารถผลักดันให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ตกลงในหลักการเพื่อร่วมประชุมสุดยอดว่าด้วย “ความมั่นคงและเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์ในยุโรป” ได้สำเร็จ โดยจะมีการขยายผลครอบคลุม “ผู้เกี่ยวข้อง” อื่นๆ ต่อไป
ด้านเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาว แถลงยืนยันว่า ไบเดนยอมรับข้อเสนอดังกล่าวในหลักการ ในกรณีที่รัสเซียไม่ได้บุกยูเครนเท่านั้น ก่อนเสริมว่า อเมริกาพร้อมสำหรับแนวทางการทูตเสมอ แต่ก็พร้อมใช้มาตรการตอบโต้ที่รวดเร็วและรุนแรงเช่นเดียวกัน หากรัสเซียเลือกทำสงคราม
ซากีสำทับว่า ขณะนี้ดูเหมือนรัสเซียยังคงเตรียมการสำหรับการบุกยูเครนเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้
เวลานี้ยังมีรายละเอียดออกมาน้อยมากสำหรับข้อเสนอนี้ที่ประกาศออกมาหลังการหารือทางโทรศัพท์ไปๆ มาๆ ระหว่างมาครง ไบเดน ปูติน ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ของยูเครน และนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสันของอังกฤษ
สำนักประธานาธิบดีฝรั่งเศสและทำเนียบขาวเผยเพียงว่า แอนโทนี บลิงเคน และเซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาและรัสเซียตามลำดับ จะหารือเกี่ยวกับสาระการประชุมสุดยอดในวันพฤหัสฯ (24)
เจ้าหน้าที่อาวุโสคนหนึ่งในคณะบริหารของไบเดนแสดงความเห็นว่า เนื่องจากยังไม่มีการตัดสินใจเกี่ยวกับกำหนดเวลาและรูปแบบการประชุม ดังนั้น การประชุมสุดยอดนี้จึงยังคงเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้น
สอดคล้องกับคำเตือนของดมิทรี เพสคอฟ โฆษกของเครมลินที่บอกว่า ยังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงแผนการจัดซัมมิตที่เฉพาะเจาะจง และสำทับว่า ขณะนี้ยังไม่มีแผนการรูปธรรมใดๆ
นอกจากนั้นในช่วงแรกของการหารือกับมาครงนานกว่า 1 ชั่วโมงเมื่อวันอาทิตย์ ปูตินยังกล่าวหาว่า กองกำลังความมั่นคงยูเครนกำลังยั่วยุด้วยการก่อความรุนแรงในแนวเขตแดนที่แบ่งแยกระหว่างยูเครนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนทางตะวันออก รวมทั้งยังย้ำข้อเรียกร้องให้อเมริกาและองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) รับประกันด้านความมั่นคง
ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน กล่าวเมื่อวันจันทร์ระหว่างเยือนกรุงบรัสเซลส์ว่า ทุกความพยายามทางการทูตควรค่าสำหรับการลงมือทำ และหวังว่า ไบเดนกับปูตินจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการถอนกำลังของรัสเซียออกจากยูเครน
ข่าวข้อเสนอของมาครงออกมาหลังจากสถานการณ์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาตึงเครียดหนักจากการที่รัสเซียระดมกำลังใกล้ชายแดนยูเครนที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน ฝ่ายตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯและนายกรัฐมนตรีจอห์นสันของอังกฤษ โหมกระพือข่าวว่ารัสเซียกำลังจะบุกยูเครนอยู่ในวันในพรุ่งแล้ว รวมทั้งจะเกิดเป็นสงครามใหญ่ขึ้นในยุโรป
มอสโกยืนยันว่า ไม่มีแผนรุกรานยูเครน ทว่า ความวิตกกังวลแผ่ซ่านอีกครั้งหลังจากกระทรวงกลาโหมเบลารุสประกาศว่า รัสเซียขยายเวลาการซ้อมรบในเบลารุสที่มีกำหนดเสร็จสิ้นเมื่อวันอาทิตย์ (20) ออกไปอีก
บลิงเคนแสดงความกังวลว่า การขยายเวลาการซ้อมรบในเบลารุสที่อยู่ติดกับทางเหนือของยูเครนอาจหมายความว่า รัสเซียใกล้เปิดฉากโจมตีแล้ว และเสริมว่า ต้องฉวยคว้าโอกาสทั้งหมดที่มีเพื่อใช้แนวทางการทูตแก้วิกฤต
เวลาเดียวกัน บริษัทแม็กซาร์ของอเมริกาได้เผยแพร่ภาพถ่ายดาวเทียมซึ่งระบุว่า แสดงให้เห็นกองทัพรัสเซียส่งทหารชุดใหม่เข้าไปซ่องสุมในป่า ฟาร์ม และพื้นที่อุตสาหกรรมห่างจากชายแดนยูเครนเพียง 15 กิโลเมตร ขณะที่สื่ออเมริกันรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยตัวตนว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ววอชิงตันได้รับข่าวกรองว่า เครมลินสั่งให้กองทัพโจมตียูเครนแล้ว
นอกจากนั้น เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ ยื่นจดหมายถึงมิเชล บาเชเลต์ ข้าหลวงใหญ่ฝ่ายสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น แสดงความกังวลว่า การรุกรานของรัสเซียต่อยูเครนอาจนำไปสู่หายนะด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ในการกวาดล้างและสังหารผู้ต่อต้านรัสเซีย
ยูเครนตะวันออกระอุ
รอยเตอร์รายงานว่า ในยูเครนตะวันออกนับจากวันพฤหัสฯ ที่แล้ว (17) ยังมีการสาดกระสุนปืนใหญ่ข้ามเขตแดนระหว่างกองกำลังรัฐบาลยูเครนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดนโปรรัสเซียอย่างประปราย นอกจากนั้นสำนักข่าวอาร์ไอเอของรัสเซียยังรายงานโดยอ้างอิงการเปิดเผยของกลุ่มกบฏในโดเนตสก์ว่า มีพลเรือนสองคนเสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่ของยูเครน
สื่อแดนหมีขาวเสริมว่า ประชาชน 61,000 คนอพยพออกจากยูเครนตะวันออกเข้าสู่รัสเซีย ขณะที่เคียฟกล่าวหากองกำลังโปรรัสเซียยิงปืนใหญ่ใส่พลเรือนในเขตยึดครองของตนเองเพื่อป้ายสีว่า เป็นฝีมือกองทัพยูเครน
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)