บริษัทผู้ผลิตปืน “เรมิงตัน” ยอมจ่ายเงิน 73 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,368 ล้านบาท ชดเชยให้แก่ครอบครัวของเด็กนักเรียน 5 คน และผู้ใหญ่อีก 4 คน ที่เสียชีวิตจากเหตุกราดยิงโรงเรียนประถมแซนดีฮุค (Sandy Hook Elementary School) เมื่อ 9 ปีที่แล้ว นับเป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิตอาวุธปืนยอมทำข้อตกลงแสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อในเหตุการณ์กราดยิงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. ปี 2012 โดยมือปืนที่ชื่อ แอดัม แลนซา (Adam Lanza) ได้นำปืนเรมิงตัน บุชมาสเตอร์ AR-15 บุกเข้าไปกราดยิงคนในโรงเรียนประถมแซนดีฮุค เมืองนิวทาวน์ รัฐคอนเนตทิคัต จนทำให้นักเรียน 22 คน และผู้ใหญ่อีก 6 คนเสียชีวิต หลังจากที่ได้ฆ่า “มารดา” ของตนเองที่บ้านมาแล้ว
ทนายความของครอบครัวเหยื่อแถลงวานนี้ (15 ก.พ.) บริษัท เรมิงตัน อาร์มส ตกลงที่จ่ายเงินเยียวยา 73 ล้านดอลลาร์ รวมถึงเปิดเผยข้อมูลหลักฐานต่างๆ ให้สาธารณชนรับทราบ ขณะที่ทีมกฎหมายของเรมิงตัน อาร์มส ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้
ครอบครัวเหยื่อ 9 รายได้ยื่นฟ้องศาลเมื่อปี 2014 และต่อสู้คดียืดเยื้อมาหลายศาลเพื่อบีบให้ เรมิงตัน ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่ากฎหมายสหรัฐฯ จะปกป้องผู้ผลิตและผู้ค้าปืนจากการรับผิดทางกฎหมายเกือบทั้งหมด อีกทั้ง เรมิงตัน เองได้ยื่นล้มละลายมาแล้ว 2 ครั้งก็ตาม
ครอบครัวเหยื่อแซนดีฮุคอ้างเหตุผลในการเอาผิด เรมิงตัน ว่า แผนการตลาด (marketing) ของผู้ผลิตปืนก็เป็นส่วนสำคัญที่นำมาสู่การสังหารหมู่ครั้งนี้
จอช คอสคอฟฟ์ ทนายของเหยื่อระบุว่า เดิมทีปืน AR-15 ถูกผลิตเพื่อใช้ในสงคราม และได้รับความสนใจจากนักเล่นปืนพลเรือนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่หลังจากที่บริษัท Cerberus เข้าซื้อกิจการเรมิงตันในปี 2007 ก็เริ่มทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น และโฆษณาปืนชนิดนี้ว่าเป็นอาวุธสังหารที่มีประสิทธิภาพ กระทั่งยอดขายปืน AR-15 เพิ่มจาก 100,000 กระบอกในปี 2005 กลายมาเป็น 2 ล้านกระบอกในปี 2012
ผลการศึกษาวิจัยที่ได้ทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่า ในบรรดาเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1966-2019 มีอยู่ “เกินครึ่ง” ที่เกิดหลังปี 2000 และ 20% เกิดขึ้นในช่วงปี 2010-2019
ชัยชนะทางกฎหมายของเหยื่อกราดยิงแซนดีฮุคในครั้งนี้ยังทำให้ฝ่ายที่สนับสนุนการควบคุมอาวุธปืนมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น รวมถึงอัยการสูงสุดรัฐนิวเจอร์ซีย์ซึ่งกำลังสอบสวนกลยุทธ์การตลาดของผู้ผลิตปืนสมิธ แอนด์ เวสสัน (Smith & Wesson) อยู่ด้วยเช่นกัน
ที่มา : รอยเตอร์