เอเจนซีส์ - แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ระดับสูงเปิดเผยวันเสาร์ (29 ม.ค.) ว่า รัสเซียเริ่มส่งเลือดสำรองไปพร้อมกับอุปกรณ์การแพทย์อื่นๆ ไปยังพรมแดนยูเครน หนึ่งในปัจจัยบ่งชี้ถึงสัญญาณว่าอาจเตรียมพร้อมการบุก
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานวันเสาร์ (29 ม.ค.) ว่า แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ 2 คนเปิดเผยกับ CNN สื่อสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (29) ถึงการยืนยันว่า มีการส่วเลือดสำรองออกไปพรมแดนพร้อมกับเครื่องมือทางการแพทย์จริง
ซึ่งรอยเตอร์เป็นสำนักข่าวแรกที่รายงานในเรื่องนี้ ซึ่งการมีเลือดสำรองนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับในกรณีเกิดสงครามและต้องใช้เพื่อช่วยชีวิตทหาร
ความเคลื่อนไหวที่เพิ่มมากขึ้นแสดงให้เห็นถึงความวิตกจากอเมริก่าว่ารัสเซียจะสามารถเปิดสงครามบุกยูเครนได้ในระยะเวลาอันสั้น
ซึ่งหนึ่งในแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่เพนตากอนให้ข้อมูลกับ CNN ว่า การที่รัสเซียส่งเลือดสำรองไปใกล้บริเวณพรมแดนยูเครนนั้นไม่ใช่เป็นปัจจัยตัดสินเด็ดขาดว่า “จะมีการบุกเกิดขึ้น” แต่ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทางอเมริกาเฝ้าดูในขณะที่รัสเซียกำลังเพิ่มกำลังที่พรมแดนยูเครนอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เดือนที่ผ่านมา CNN รายงานว่าฝ่ายรัสเซียเริ่มต้นเส้นลำเลียงยุทธปัจจัย เป็นต้นว่าหน่วยการแพทย์ และหน่วยเชื้อเพลิงที่ช่วยจะทำให้การบุกยึดสามารถทำได้ยาวนานขึ้นหากว่าฝ่ายมอสโกเลือกที่จะบุกยูเครนจริง
ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมยูเครน ฮันนา มาเลียร์ (Hanna Maliar) ในวันเสาร์ (29) ออกมาปฏิเสธรายงานจากฝั่งสหรัฐฯ ถึงการส่งเลือดสำรองจากรัสเซียนั้นไม่เป็นความจริง โดยเธอกล่าวว่า “ข้อมูลเป็นเท็จ” และเสริมต่อผ่านทางเฟซบุ๊กโดยชี้ว่า “ข้อมูลประเภทนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสงครามทางข้อมูลและจิตวิทยา โดยมีเป้าประสงค์เพื่อต้องการทำให้เกิดการแพร่หลายเพื่อสร้างความตื่นตระหนกและความกลัวในสังคมของพวกเรา”
แต่อย่างไรก็ตาม ทำเนียบขาวกล่าวว่า การที่ยูเครนพยายามทำให้ภัยคุกคามดูต่ำกว่าความเป็นจริงจะยิ่งทำให้นำมาสู่ประเทศขาดการเตรียมตัวต่อการเผชิญหน้าจากการบุกจากรัสเซีย
โดยแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวกับ CNN ในวันเสาร์ (29) ว่า “พวกเราเข้าใจสถานะที่ยากลำบากของประธานาธิบดียูเครน โวโดดิมีร์ เซเลนสกี ที่มีอยู่และในภายใต้ความกดดันของเขา” และเสริมต่อว่า “แต่ในเวลาเดียวกันการที่เขาพยายามทำให้ความเสี่ยงที่จะต้องถูกบุกยึดลดลง เขาร้องขอการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนหลายแสนดอลลาร์เพื่อป้องกัน ทำให้พวกเราคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องแสดงอย่างเปิดกว้างและตรงไปตรงมาเกี่ยวกับภัยคุกคามนั้น”