เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (13 ม.ค.) คณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ ที่เคยมอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้นายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย อาบีย์ อาห์เหม็ด เมื่อปี 2019 ออกมายืนยันว่า ผู้นำแดนกาฬทวีปมีความรับผิดชอบพิเศษในการทำให้ความขัดแย้งในภูมิภาคทิเกรย์ นับตั้งแต่พฤศจิกายนปี 2020 ต้องยุติลง
เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้ (13 ม.ค.) ว่า เบริต รีสส์-อันเดอร์เซน (Berit Reiss-Andersen) ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ กล่าวผ่านแถลงการณ์นายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย อาบีย์ อาห์เหม็ด (Abiy Ahmed) ว่า
“ในฐานะนายกรัฐมนตรีและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อาบีย์ อาเหม็ด ถือว่ามีความรับผิดชอบพิเศษในการยุติความขัดแย้งและทำให้เกิดสันติภาพ”
ทั้งนี้ พบว่าภูมิภาคทิเกรย์ตกอยู่ในสงครามกับรัฐบาลกลางเอธิโอเปียมาตั้งแต่พฤศจิกายน ปี 2020 หลังจากอาบีย์ ได้ส่งกองกำลังเข้ามาควบคุมในภูมิภาค และกล่าวหาพรรครัฐบาลบริหารทิเกรย์ในเวลานั้น พรรคแนวหน้าปลดแอกประชาชนแห่งทิเกรย์ TPLF (Tigray People's Liberation Front) เข้าโจมตีค่ายทหารกองทัพเอธิโอเปีย
สงครามระหว่างกองทัพเอธิโอเปียที่จงรักภักดีต่ออาบีย์ และกองกำลัง TPLF ของทิเกรย์ และพันธมิตรทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษเคยรายงานไว้เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ปีที่แล้วว่า เป็นการคาดการณ์ยากว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตไปแล้วมากน้อยเท่าใดเนื่องมาจากมีการตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตในทิเกรย์ และอีกทั้งมีองค์กรบรรเทาทุกข์ไม่กี่หน่วยงานที่สามารถให้การช่วยเหลือในพื้นที่ได้ แต่มีการประเมินคร่าวๆ ในเวลานั้นว่าน่าจะมีคนเสียชีวิตทั้งหมดราว 100,000 คน
ซึ่งรายงานจำนวนมากชี้ว่า มีการสังหารหมู่ การละเมิดทางเพศ และความป่าเถื่อนอื่นๆ ที่เกิดมาจากทั้ง 2 ฝ่าย และอีกทั้งภูมิภาคทิเกรย์ที่ถูกปิดกั้นนำไปสู่วิกฤตความอดอยาก
ซึ่งเอเอฟพีรายงานในวันพุธ (12) โดยอ้างคำให้การจากทั้งแพทย์และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ พบว่า โดรนสังหารคนจำนวน 19 รายในภูมิภาคทิเกรย์เมื่อ 2 วันก่อนหน้า
ขณะที่กองกำลังฝ่ายกบฏจาก TPLF กล่าวหากองกำลังรัฐบาลอาบีย์ ยังคงใช้กำลังทางอากาศโจมตีไม่หยุดถึงแม้ฝ่ายตนจะยอมถอยร่นกลับเข้าฐานที่มั่นในทิเกรย์มาตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้ว หลังจากที่กองทัพเอธิโอเปียเดินหน้าเข้ายึดเมืองทางยุทธศาสตร์ไว้ได้
การออกมาแสดงความเห็นของคณะกรรมการรางวัลโนเบลของนอร์เวย์ในวันพฤหัสบดี (13) เกิดขึ้นหลังในวันจันทร์ (10) ที่มีการต่อสายพูดคุยระหว่างกันระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน และนายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย โดยสื่ออาหรับ asharq al-awsat ชี้ว่า ทำเนียบขาวแถลงว่าผู้นำสหรัฐฯ ได้แสดงความวิตกต่อการโจมตีทางอากาศที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับอาบีย์ รวมไปถึงการควบคุมตัวและพลเรือนที่ถูกสังหารระหว่างสงครามทิเกรย์ และแสดงความชื่นชมอาบีย์ต่อการปล่อยตัวนักโทษการเมืองระดับสูงเอธิโอเปีย
ทั้งนี้สำหรับอาบีย์ พบว่า เคยชนะรางวัลโนเบลสันติภาพปี 2019 จากที่เขาแก้ความขัดแย้ง 20 ปีระหว่างเอริเทรีย-เอธิโอเปียได้สำเร็จ เป็นการแข่งขันรางวัลในปีที่มีตัวเก็งคนสำคัญ เช่น เกรียตา ทุนแบร์ย นักเคลื่อนไหวรณรงค์ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะอากาศโลกชาวสวีเดนเป็นคู่แข่งคนสำคัญ CNBC สื่อสหรัฐฯ รายงานเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมาว่า อาบีย์ตกเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อเขาประกาศผ่านทางโซเชียลมีเดียจะเดินทางไปแนวรบด้วยตนเองเพื่อนำกองกำลังความมั่นคงเอธิโอเปียจากแนวหน้าในการต่อสู้กับกลุ่มกบฏทิเกรย์
เอเอฟพีรายงานว่า ประธานคณะกรรมการรางวัลโนเบลนอร์เวย์ รีสส์-อันเดอร์เซน กล่าวว่า “สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมมีความร้ายแรงมากและถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถรับได้ที่ความช่วยเหลือทางการบรรเทาทุกข์ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างเพียงพอ”
ซึ่งผลจากความขัดแย้งในภูมิภาคทิเกรย์ ส่งผลทำให้มีเสียงเรียกร้องกดดันให้คณะกรรมการผู้มอบรางวัลริบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากผู้นำเอธิโอเปียกลับคืน แต่เอเอฟพีชี้ว่า ไม่สามารถกระทำได้ภายใต้สถานภาพของรางวัล
โดยทางคณะกรรมการกล่าวว่า ไม่สามารถแสดงความเห็นต่อปัจจัยที่ส่งผลทำให้อาบีย์ชนะรางวัลอันทรงเกียรติเมื่อปี 2019 โดยชี้เพียงว่า รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่นายกรัฐมนตรีเอธิโอเปีย อาบีย์ อาห์เหม็ด ได้รับเป็นคุณูปการจากการที่เขาช่วยทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพร่วมกับเอริเทียสำเร็จ และนโยบายทางการเมืองของเขาทางด้านประชาธิปไตยและการพัฒนาสิทธิมนุษยชน รีสส์-อันเดอร์เซน แสดงความเห็น
ด้านผู้อำนวยการบริหารฮิวแมนไรท์วอช เคนเนธ โรธ (Kenneth Roth) กล่าวในงานแถลงข่าวเรียกร้องให้นานาชาติร่วมกดดันรัฐบาลเอธิโอเปียเพื่อขอให้เปิดทางสามารถนำความช่วยเหลือการบรรเทาทุกข์เข้าสู่ภูมิภาคทิเกรย์
“ภัยคุกคามที่นั่นคือการปิดกั้นความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของรัฐบาลเอธิโอเปียที่มีพลเรือนหลายล้านต้องการในภูมิภาค” และเสริมว่า “นี่เป็นเคสคลาสสิกของการลงโทษแบบองค์รวม นี่ไม่ใช่การลงโทษกองทัพทิเกรย์ แต่เป็นการลงโทษประชาชน...ในทิเกรย์”