กองทัพสหรัฐฯ และกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นร่างแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อปกป้อง “ไต้หวัน” ในสถานการณ์ฉุกเฉิน หลังความขัดแย้งกับจีนเริ่มทวีความรุนแรง
รัฐบาลปักกิ่งมองว่าเกาะไต้หวันซึ่งปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยเป็นเพียง “มณฑล” และ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ของจีน โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จีนได้ยกระดับกิจกรรมทางทหารและเพิ่มแรงกดดันทางทูตอย่างหนักหน่วง ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้ทั้งไทเปและวอชิงตัน
รัฐบาลไต้หวันยืนยันว่า พวกเขาต้องการ “สันติภาพ” แต่หากจำเป็นก็พร้อมที่จะสู้เพื่อปกป้องตนเอง
สำนักข่าวเกียวโดอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งระบุว่า ในกรณีที่ไต้หวันเผชิญภัยคุกคามฉุกเฉิน นาวิกโยธินสหรัฐฯ จะเข้าไปตั้งฐานทัพชั่วคราวบนหมู่เกาะนันเซ (Nansei) หรือ “หมู่เกาะริวกิว” ทางตอนใต้ของเกาะคิวชู และจะส่งทหารไปประจำการที่นั่น ส่วนกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นจะช่วยสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ เช่น การลำเลียงกระสุน และเชื้อเพลิง เป็นต้น
สื่อเกียวโดระบุด้วยว่า แผนปฏิบัติการดังกล่าวน่าจะได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการในการประชุมหารือ “2+2” ระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมและต่างประเทศของสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในช่วงต้นปีหน้า
เมื่อเดือน ต.ค. ญี่ปุ่นได้ออกมาแสดงท่าทีป้องปรามพฤติกรรมก้าวร้าวของจีนต่อไต้หวันมากยิ่งขึ้น โดยระบุว่า โตเกียวจะพิจารณาทางเลือกต่างๆ และเตรียมพร้อมรับมือ “สถานการณ์ที่หลากหลาย” โดยร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด
ล่าสุดเมื่อต้นเดือนนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ก็ออกมาย้ำว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ “คงอยู่เฉยไม่ได้” หากจีนรุกรานไต้หวัน
สหรัฐฯ มีฐานทัพขนาดใหญ่หลายแห่งในญี่ปุ่น รวมถึงที่เกาะโอกินาวาซึ่งใช้เวลาบินจากไต้หวันไม่นาน และคาดว่าจะเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะส่งกำลังเสริมไปช่วยได้ ในกรณีที่สหรัฐฯ จำเป็นต้องยื่นมือเข้าแทรกแซงการรุกรานของจีน
โฆษกเพนตากอนยืนยันว่า สหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีพันธกรณีร่วมในการปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพภายในช่องแคบไต้หวัน ตามที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และผู้นำญี่ปุ่นได้ออกคำแถลงร่วมไว้เมื่อเดือน มี.ค.
จีนไม่ปฏิเสธที่จะใช้กำลังทหารเพื่อนำไต้หวันกลับมาอยู่ภายใต้อาณัติของแผ่นดินใหญ่ และถือว่าเกาะประชาธิปไตยแห่งนี้ยังคงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ดังนั้น จึงไม่มีสิทธิที่จะสถาปนาความสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐกับชาติอื่น
สหรัฐฯ เองก็เช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในโลกที่เลือกสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับปักกิ่งภายใต้นโยบายจีนเดียว (One-China policy) แต่ก็มีพันธกรณีตามกฎหมายที่จะต้องสนับสนุนไต้หวันให้สามารถป้องกันตนเองได้
ที่มา : รอยเตอร์