รัฐบาลฮ่องกงประกาศห้ามชาวต่างชาติจาก 4 ประเทศแอฟริกาเดินทางเข้าเมือง และขยายมาตรการจำกัดการเดินทางครอบคลุมถึงผู้ที่เคยเดินทางไปออสเตรเลีย, แคนาดา, อิสราเอล และอีก 6 ประเทศยุโรปในช่วง 21 วันที่ผ่านมา เพื่อสกัดการนำเข้าเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน
องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกมาเตือนเมื่อวันจันทร์ (29 พ.ย.) ว่า โควิดสายพันธุ์โอมิครอนมีแนวโน้มที่จะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว ขณะที่นานาชาติหันมาใช้มาตรการปิดพรมแดนสกัดผู้เดินทางที่มาจากประเทศเสี่ยงสูง
ทางการฮ่องกงมีประกาศเมื่อค่ำวานนี้ (29) ว่า ชาวต่างชาติที่ไม่มีถิ่นพำนักถาวรในฮ่องกงจากแองโกลา, เอธิโอเปีย, ไนจีเรีย และแซมเบีย จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าฮ่องกงตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย. เป็นต้นไป ส่วนพลเมืองฮ่องกงที่ฉีดวัคซีนแล้วยังสามารถเข้าเมืองได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้เป็นเวลา 7 วัน รวมถึงกักตัวเพิ่มอีก 2 สัปดาห์ที่โรงแรม โดยผู้เดินทางต้องออกค่าใช้จ่ายเอง
นอกจากนี้ ชาวต่างชาติที่เคยเดินทางไปออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, สาธารณรัฐเช็ก, เดนมาร์ก, เยอรมนี, อิสราเอล และอิตาลี ในช่วง 21 วันย้อนหลัง จะไม่สามารถเข้าฮ่องกงได้ตั้งแต่วันที่ 2 ธ.ค. ส่วนพลเมืองฮ่องกงที่กลับมาจากประเทศเหล่านี้จะต้องกักตัวในโรงแรมเป็นเวลา 3 สัปดาห์
สัปดาห์ที่แล้ว ฮ่องกงได้ประกาศแบนชาวต่างชาติจาก 8 ประเทศแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้, บอตสวานา, เอสวาตินี, เลโซโท, มาลาวี, โมซัมบิก, นามิเบีย และซิมบับเว และมีการตรวจพบผู้เดินทางจากต่างประเทศ 3 รายติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอน ทว่ายังไม่พบการแพร่ระบาดในชุมชน
ฮ่องกงเป็นดินแดนไม่กี่แห่งในโลกที่รัฐยังคงพยายามกดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เป็น “ศูนย์” และใช้มาตรการจำกัดการเดินทางที่เข้มงวด เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะเริ่มเปิดพรมแดนบางส่วนกับจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งมีนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
ที่มา: รอยเตอร์