ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนประกาศจะส่งมอบวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาเพิ่มอีก 1,000 ล้านโดส พร้อมเชิญชวนภาคธุรกิจของจีนให้ลงทุนในทวีปแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
จีนได้ส่งมอบวัคซีนเกือบ 200 ล้านโดสไปยังกลุ่มประเทศแอฟริกา ซึ่งยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่าภูมิภาคอื่นๆ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ที่พบเป็นครั้งแรกในแอฟริกาตอนใต้
ในพิธีเปิดการประชุมความร่วมมือจีน-แอฟริกาผ่านระบบวิดีโดลิงก์เมื่อวันจันทร์ (29 พ.ย.) สี ระบุว่ารัฐบาลจีนจะส่งวัคซีน 600 ล้านโดสให้แก่แอฟริกาในรูปของการบริจาค ส่วนที่เหลืออีก 400 ล้านโดสจะเป็นการให้ในรูปแบบอื่นๆ เช่น การร่วมผลิตระหว่างบริษัทจีนกับกลุ่มประเทศในแอฟริกา เป็นต้น
จีนยังมีแผนริเริ่มโครงการส่งเสริมสุขภาพอีก 10 โครงการในแอฟริกา และจะส่งผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอีก 1,500 คนไปปฏิบัติหน้าที่
สี ระบุด้วยว่า จีนเตรียมที่จะเปิดศูนย์เงินหยวนข้ามพรมแดนซึ่งจะให้วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่สถาบันการเงินในแอฟริกา ทว่ายังไม่เผยรายละเอียดอื่นๆ เพิ่มเติม
ปักกิ่งยังมีแผนใช้เงินลงทุนอีก 10,000 ล้านดอลลาร์สนับสนุนการส่งออกของแอฟริกา, จัดตั้งเขตความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจ รวมถึงสร้างพื้นที่อุตสาหกรรมการผลิตขนาดใหญ่จีน-แอฟริกา
สี ยืนยันว่า มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากแอฟริกามายังจีนจะแตะระดับ 300,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งสนับสนุนให้ทั้ง 2 ฝ่ายสร้างร่วมมือในด้านสุขภาพ นวัตกรรมดิจิทัล การส่งเสริมการค้า และการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
คำประกาศของ สี จิ้นผิง มีขึ้น ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญที่มองว่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของจีนอาจกลายเป็น “กับดักหนี้” ที่ประเทศเล็กๆ ไม่สามารถบริหารจัดการได้
ทั้งนี้ เม็ดเงินลงทุนที่จีนสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ในประเทศต่างๆ ผ่านโครงการแถบและเส้นทาง (Belt and Road Initiative) เริ่มมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยมีข้อมูลจากบริษัทกฎหมายระหว่างประเทศ เบเคอร์ แมคเคนซี (Baker McKenzie) ว่า สถาบันการเงินของจีนให้เงินอุดหนุนโครงสร้างพื้นฐานในแอฟริกาลดลงจาก 11,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 เหลือเพียง 3,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2020
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวระหว่างเดินสายเยือน 4 ประเทศแอฟริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การเข้าไปลงทุนของสหรัฐฯ ในภูมิภาคแห่งนี้จะเป็นข้อตกลง “สะอาด” และไม่สร้างภาระหนี้สิ้นซึ่งไม่สามารถจัดการได้
ที่มา: รอยเตอร์