ฟิลิปปินส์ยกระดับมาตรการคุมเข้มพรมแดนสกัดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน โดยเพิ่มอีก 7 ชาติยุโรปลงใน “บัญชีแดง” ห้ามเดินทางเข้าประเทศจนถึงกลางเดือน ธ.ค. หลังจากที่แบนผู้เดินทางจาก 7 ชาติแอฟริกาไปแล้วก่อนหน้า
โควิดสายพันธุ์โอไมครอนยังคงแพร่กระจายต่อเนื่องไปยังหลายประเทศทั่วโลกเมื่อวานนี้ (28) โดยพบผู้ติดเชื้อยืนยัน 13 คนที่เนเธอร์แลนด์ รวมถึงที่เดนมาร์ก, แคนาดา, และออสเตรเลีย ประเทศละ 2 คน
ล่าสุด คณะทำงานด้านการรับมือโควิด-19 ของฟิลิปปินส์ได้ประกาศใช้มาตรการจำกัดการเดินทางกับอีก 7 ชาติยุโรป ได้แก่ ออสเตรีย, สาธารณรัฐเช็ก, ฮังการี, เนเธอร์แลนด์, สวิตเซอร์แลนด์, เบลเยียม, และอิตาลี โดยจะห้ามผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้เข้าประเทศจนถึงวันที่ 15 ธ.ค. เพิ่มเติมจากคำสั่งแบนผู้เดินทางจาก 7 ชาติแอฟริกา (แอฟริกาใต้, บอตสวานา, นามิเบีย, ซัมบับเว, เลโซโท, เอสวาตินี และโมซัมบิก) ที่ประกาศไปก่อนหน้านี้
รัฐบาลมะนิลายังชะลอแผนอนุญาตให้ชาวต่างชาติบางกลุ่มที่ฉีดวัคซีนครบเดินทางเข้าประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.
“ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศทุกคน ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนหรือไม่ หากมาจากกลุ่มประเทศในบัญชีแดง หรือเคยพำนักอยู่ในประเทศเหล่านี้ภายในระยะเวลา 14 วัน จะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าฟิลิปปินส์” คาร์โล โนกราเลส รักษาการโฆษกประธานาธิบดี ระบุในถ้อยแถลง
ฟิลิปปินส์เป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มียอดผู้ติดเชื้อ, ผู้เสียชีวิต และได้รับความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 มากที่สุด ทว่ารัฐบาลได้เริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ลงโดยหวังว่าจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาเดินหน้าต่อได้
ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในฟิลิปปินส์ลดเหลือเพียง 838 คนในวันอาทิตย์ (28) ซึ่งเป็นตัวเลขต่ำสุดตั้งแต่เดือน ธ.ค. ปี 2020 จากที่เคยพุ่งสูงกว่า 26,000 คนต่อวันในช่วงเดือน ก.ย. ปีที่แล้ว
ปัจจุบันมีชาวฟิลิปปินส์กว่า 35 ล้านคนที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบแล้ว หรือคิดเป็น 46% ของประชากรกลุ่มเป้าหมาย
รัฐบาลฟิลิปปินส์ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากร 54 ล้านคน หรือ 70% ของกลุ่มเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะฉีดได้ถึง 77 ล้านคน และ 90 ล้านคน ภายในสิ้นเดือน มี.ค. และสิ้นเดือน มิ.ย. ปี 2022 ตามลำดับ
คาร์ติโล กัลเวซ จูเนียร์ หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์วัคซีนของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ระบุวานนี้ (28) ว่า รัฐบาลได้ทำสัญญาสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคเพิ่มอีก 20 ล้านโดส โดยจะนำมาฉีดเป็นเข็มกระตุ้นและฉีดสำหรับเด็กในช่วงปีหน้า
ที่มา: รอยเตอร์