หน่วยงานสาธารณสุขของสหภาพยุโรป (อียู) เรียกร้องให้รัฐสมาชิกทั้ง 27 ประเทศออก “มาตรการเร่งด่วน” เพื่อสกัดโควิด-19 ที่กลับมาระบาดหนักในช่วงฤดูหนาว ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนนับจากวันนี้จนถึง มี.ค. ปีหน้าอาจมีชาวยุโรปเสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มถึง 700,000 คน
ยุโรปกลับมาเป็นศูนย์กลางการระบาดของโควิดอีกครั้ง ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่กว่า 2.5 ล้านคน และยอดเสียชีวิตเกือบ 30,000 คนในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงอีก
ปัจจัยหลักๆ ที่ทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในยุโรปกลับมาย่ำแย่ก็คือ บางประเทศยังมีอัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างต่ำ, เชื้อสายพันธุ์เดลตาที่แพร่กระจายเร็ว, สภาพอากาศที่หนาวเย็นลงซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในอาคารมากขึ้น รวมถึงการที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดทางสังคมเพื่อฟื้นเศรษฐกิจในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาส
ผู้เชี่ยวชาญออกมาเรียกร้องให้ยุโรปเริ่มโครงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น หลังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่ได้จากการฉีดวัคซีนนั้นเริ่มที่จะลดลง
ยอดติดเชื้อรายวันที่พุ่งสูงจนน่ากังวลทำให้บางประเทศในยุโรปเริ่มสั่งฟื้นมาตรการ “ล็อกดาวน์บางส่วน” ขณะที่อีกหลายประเทศก็มีแนวโน้มจะทำตาม
รัฐบาลออสเตรียเริ่มนำมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศกลับมาใช้ในวันจันทร์ (22) โดยชาวออสเตรีย 8.9 ล้านคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน ยกเว้นไปทำงาน ซื้อของใช้ที่จำเป็น และออกกำลังกาย และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะถือเป็นมาตรการบังคับนับจากวันที่ 1 ก.พ. ปีหน้า ขณะที่เบลเยียมสั่งห้ามผู้ไม่ฉีดวัคซีนเข้าใช้บริการในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหารและบาร์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดเหล่านี้ก็นำมาซึ่งกระแสชุมนุมต่อต้านโดยกลุ่มพลเมืองซึ่งรับไม่ได้ที่จะต้องกลับไปใช้ชีวิตภายใต้ข้อจำกัดอีกครั้ง
ตำรวจเบลเยียมได้ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมราว 35,000 คนที่ออกมาต่อต้านมาตรการสกัดโควิด-19 บนท้องถนนของกรุงบรัสเซลส์เมื่อวันอาทิตย์ (21 พ.ย.) ส่วนที่เนเธอร์แลนด์ก็มีฝูงชนออกมารวมตัวต่อต้านมาตรการสกัดไวรัสในหลายเมือง โดยเฉพาะที่เมืองรอตเทอร์ดามซึ่งตำรวจถึงขั้นต้องยิงกระสุนเข้าใส่ฝูงชน
เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสได้เสริมกำลังตำรวจเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยที่เกาะกัวเดอลุป แคว้นโพ้นทะเลของฝรั่งเศสในทะเลแคริบเบียน หลังมีการก่อจลาจลปล้นสะดมร้านค้าหลายสิบแห่งและจุดไฟเผาย่านธุรกิจเพื่อประท้วงที่มาตรการสกัดโควิดของภาครัฐ ซึ่งรวมถึงการบังคับให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคนต้องฉีดวัคซีน
สำนักงานองค์การอนามัยโลกประจำภูมิภาคยุโรปออกมาเตือนเมื่อวันอังคาร (23) ว่าภูมิภาคยุโรปและเอเชียกลางอาจมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นอีก 700,000 คนภายในเดือนมี.ค. ปี 2022 หลังจากที่มียอดตายสะสมมาแล้วถึง 1.5 ล้านคนในตอนนี้
WHO ยังคาดการณ์ด้วยว่า 49 จาก 53 ประเทศในภูมิภาคยุโรปจะเผชิญวิกฤตขาดแคลนเตียงผู้ป่วยไอซียูในช่วงฤดูหนาวปีนี้
ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งยุโรป (ECDC) ยืนยันในวันพุธ (24) ว่า แบบจำลองสถานการณ์บ่งชี้ถึงผลลัพธ์ที่จะเลวร้ายไม่ต่างจากคำเตือนของ WHO หากว่ารัฐบาลยุโรปไม่มีมาตรการตอบสนองอย่าง “เร่งด่วน”
“โควิด-19 จะสร้างภาระที่หนักหนาสาหัสต่อ EU และเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA) ทั้งหมดภายในช่วงเดือน ธ.ค.- ม.ค. เว้นเสียแต่ทุกประเทศจะมีมาตรการด้านสาธารณสุขออกมาในวันนี้ รวมถึงพยายามเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรทั้งหมดโดยเร็ว” ECDC ระบุ
เวลานี้ประชากรอียูและเขตเศรษฐกิจยุโรปทั้งหมด (รวมนอร์เวย์, ลิกเตนสไตน์ และไอซ์แลนด์) ยังได้รับวัคซีนครบไม่ถึง 70% ซึ่ง ECDC เตือนว่าเป็น “ช่องโหว่ขนาดใหญ่” ที่ไม่สามารถจะอุดได้โดยเร็ว และทำให้มีความเสี่ยงสูงที่ไวรัสจะยังแพร่กระจายต่อไป
“เราจำเป็นต้องอุดช่องว่างด้านภูมิคุ้มกันนี้โดยเร็วที่สุด ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนต้องได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น และจะต้องนำมาตรการที่นอกเหนือไปจากการใช้ยา (non-pharmaceutical measures) มาปฏิบัติร่วมด้วย” แอนเดรีย อัมมอน ผู้อำนวยการ ECDC กล่าว
แม้ประชากรราว 67.6% ในอียูจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบแล้ว แต่หากพิจารณาเป็นรายประเทศจะพบว่าอัตราการฉีดวัคซีนยังมีความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง ตัวอย่างเช่น บัลแกเรียมีพลเมืองที่ฉีดวัคซีนครบแค่ 24.2% เมื่อเทียบกับตัวเลข 86.7% ในโปรตุเกส
อัมมอน เรียกร้องให้ทุกประเทศในยุโรปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่ผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยเน้นกลุ่มคนที่อายุเกิน 40 ปีเป็นอันดับแรก ขณะที่ อัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ก็ประกาศสนับสนุนแนวทางดังกล่าว โดยทวีตข้อความเมื่อวันพุธ (24) ว่า “ผู้ใหญ่ทุกคนต้องได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะผู้ที่อายุเกิน 40 ปี และกลุ่มเปราะบาง”
สวีเดนเริ่มฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้แก่พลเมืองที่อายุเกิน 65 ปีแล้ว และประกาศจะฉีดเข็มกระตุ้นในผู้ใหญ่ที่อายุตั้งแต่ 18-64 ปีเร็วๆ นี้ โดยเริ่มที่กลุ่มอายุ 50-64 ปีก่อน
ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เพิ่มขึ้นสูงสุดในกลุ่มประเทศยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนยังค่อนข้างต่ำ
ที่รัสเซีย ประชาคมแพทย์ได้ออกจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้บรรดาผู้มีชื่อเสียงและนักการเมืองที่ยังคงต่อต้านวัคซีนไปดูสถานการณ์ตามโรงพยาบาลใน “พื้นที่สีแดง” เพื่อให้เห็นกับตาตัวเองว่าโควิด-19 สร้างความสูญเสียมากมายขนาดไหน
แม้ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน จะพยายามเรียกร้องเชิญชวนซ้ำแล้วซ้ำอีกให้คนไปฉีดวัคซีน แต่จนถึงตอนนี้ยังมีชาวรัสเซียเพียง 37% ที่ฉีดวัคซีนครบ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตรายวันในแดนหมีขาวพุ่งทะลุหลัก 1,000 คนต่อเนื่องมานานหลายสัปดาห์