ไบเดนยืนยันในวันอังคาร (16 พ.ย.) ได้บอกประธานาธิบดีจีนชัดเจนว่า อเมริกายึดมั่นในนโยบาย “จีนเดียว” แต่ตั้งข้อสังเกตว่า ไต้หวันเป็นเกาะที่ปกครองตนเองและตัดสินใจด้วยตนเอง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเผยผู้นำสองชาติเห็นพ้องจัดการหารือเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธระหว่างประเทศที่ครอบครองนิวเคลียร์
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ในช่องแคบไต้หวันซึ่งอยู่ระหว่างเกาะไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพิ่มความตึงเครียดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากจีนระดมส่งเครื่องบินรบเข้าไปในเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวัน ขณะที่อเมริกาและพันธมิตรก็ส่งเรือรบเข้าสู่ช่องแคบแห่งนี้
กระนั้น ระหว่างการประชุมแบบเสมือนจริงเมื่อเช้าวันอังคาร (16) ตามเวลาปักกิ่ง ซึ่งตรงกับคืนวันจันทร์(15) ตามเวลาวอชิงตัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน พยายามตอกย้ำการสนับสนุนกฎหมายความสัมพันธ์กับไต้หวัน ที่สหรัฐฯนำมาบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1979 และถือเป็นตัวกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตัน-ไทเป
ต่อมาในวันอังคารของสหรัฐฯ ไบเดนบอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างอยู่ในรัฐนิวแฮมป์เชียร์ว่า อเมริกาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนกฎหมายดังกล่าว และสำทับว่า ไต้หวันมีอิสระและสามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวแถลงว่า นโยบาย “จีนเดียว” ของอเมริกาคือการยอมรับปักกิ่งในฐานะรัฐบาลของจีน แต่อนุญาตให้มีความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการและความสัมพันธ์ทางทหารกับไทเปได้ นอกจากนั้นไบเดนยังกล่าวชัดเจนว่า อเมริกาคัดค้านความพยายามตามลำพังฝ่ายเดียวเพื่อเปลี่ยนสถานะเดิม หรือบ่อนทำลายเสถียรภาพและสันติภาพในช่องแคบไต้หวัน
ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน เจค ซุลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว แถลงว่า ไบเดนย้ำเตือนกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ระหว่างการประชุมแบบเสมือนจริงครั้งนี้ว่า ไบเดนได้โหวตสนับสนุนกฎหมายความสัมพันธ์กับไต้หวันระหว่างที่เขายังเป็นวุฒิสมาชิก ดังนั้น จึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า กฎหมายฉบับนี้ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ความพยายามใดๆ ในการกำหนดอนาคตของไต้หวันโดยวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่สันติวิธีเป็นสิ่งที่อเมริกากังวลอย่างยิ่ง
ซุลลิแวนยังเปิดเผยระหว่างร่วมการสัมมนาบนเว็บที่จัดโดยสถาบันบรูกกิ้งส์ ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตันว่า ในการพูดคุยกับสี ไบเดนยังหยิบยกเรื่องความจำเป็นที่จะต้องมีการหารือเกี่ยวกับเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์ และผู้นำทั้งสองเห็นพ้องกันให้จัดการหารือเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธระหว่างประเทศที่ครอบครองนิวเคลียร์
การหยิบยกประเด็นนี้มาหารือบ่งชี้ว่า อเมริกากังวลกับการสะสมนิวเคลียร์และขีปนาวุธของจีน
เมื่อไม่นานมานี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน ยืนยันว่า เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จีนได้ทดสอบขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ซึ่งหมายถึงอาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงตั้งแต่ 5 เท่าขึ้นไป อาวุธเช่นนี้ยากลำบากในการป้องกัน และยิ่งติดหัวรบนิวเคลียร์ด้วยแล้ว ก็มีอันตรายมาก นอกจากนั้น เพนตากอนยังระบุว่า ปักกิ่งกำลังขยายคลังแสงนิวเคลียร์ด้วยความรวดเร็วกว่าที่คาดหมายกันไว้
แม้อเมริกาและรัสเซียมีการเจรจาว่าด้วยเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น โดยมีการทำข้อตกลงลดอาวุธหลายฉบับ แต่จีนไม่เคยมีส่วนร่วมกับการเจรจานี้ ขณะที่ปักกิ่งตอบโต้ว่า คลังแสงนิวเคลียร์ของตนยังเล็กมาก เทียบไม่ได้เลยกับของสหรัฐฯหรือรัสเซีย
นอกจากนั้นเมื่อวันพุธ (17) ทั้งหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่ของทางการจีน และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต่างเปิดเผยว่า จีนและอเมริกาจะผ่อนคลายข้อจำกัดการเข้าประเทศของผู้สื่อข่าวของแต่ละประเทศ
ไชน่าเดลี่รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อในกระทรวงการต่างประเทศจีนว่า ก่อนการประชุมสุดยอดเมื่อวันอังคาร สองฝ่ายบรรลุฉันทามติเรื่องการออกวีซ่าให้ผู้สื่อข่าว โดยอเมริกาจะออกวีซ่าระยะ 1 ปีที่ไม่จำกัดจำนวนครั้งการเข้า-ออกประเทศแก่ผู้สื่อข่าวจีน และปักกิ่งก็ตกลงปฏิบัติในลักษณะเดียวกันนี้กับผู้สื่อข่าวอเมริกัน ในทันทีที่นโยบายนี้ของอเมริกามีผลบังคับใช้
ทั้งสองประเทศจะออกวีซ่าให้ผู้สื่อข่าวโดยอิงกับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และผู้สื่อข่าวจะสามารถเดินทางเข้า-ออกอย่างเสรีแต่ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเพื่อป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯให้รายละเอียดแบบเดียวกันว่า ทั้งสองประเทศจะอนุญาตให้ผู้สื่อข่าวของกันและกันเดินทางเข้าออกประเทศได้อย่างเสรีเหมือนในอดีตก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งและการตอบโต้กัน โดยที่อเมริกาจำกัดจำนวนผู้สื่อข่าวจีนที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในสำนักงานในสหรัฐฯ และจำกัดให้อยู่ได้เพียง 90 วัน จากนั้นปักกิ่งก็เอาคืนด้วยการขับผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์อเมริกันหลายฉบับออกนอกประเทศ รวมทั้งบังคับใช้ข้อจำกัดใหม่ๆ ในเรื่องวีซ่ากับบริษัทสื่ออเมริกันบางแห่ง
(ที่มา: เอพี, รอยเตอร์, เอเอฟพี)