ดร.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ชี้มีความเป็นไปได้ที่โควิด-19 จะลดระดับความรุนแรงกลายเป็นเพียง “โรคประจำถิ่น” (endemic illness) ในปีหน้า หากรัฐบาลสหรัฐฯ เร่งฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเชื่อว่า โควิด-19 คงจะไม่หายไปจากโลกนี้ และมีแนวโน้มจะกลายเป็นโรคประจำถิ่นที่มีอัตราการป่วยมากบ้างน้อยบ้างในแต่ละภูมิภาค ไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่หรืออีสุกอีใส
“ในมุมมองของผม ถ้าจะให้โควิด-19 กลายเป็นเพียงโรคประจำถิ่น เราจำเป็นต้องลดอัตราการติดเชื้อให้ต่ำถึงขั้นที่ไม่มีผลกระทบต่อสังคม ต่อชีวิตของคุณ และต่อระบบเศรษฐกิจ” นพ.เฟาซี ระบุ “แน่นอนว่าจะยังมีคนติดเชื้อ มีคนป่วยเข้าโรงพยาบาล แต่ก็จะน้อยมากจนเราไม่ต้องกังวลอยู่ตลอดเวลา และไม่กระทบต่อสิ่งต่างๆ ที่เราทำ”
เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้น นพ.เฟาซี ย้ำว่าชาวอเมริกันส่วนใหญ่จะต้องยอมถลกแขนเสื้อฉีดวัคซีนเข็มแรก รวมถึงเข็มกระตุ้นต่อๆ ไป และหากประชากรทุกคนได้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ก็มีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ภายในฤดูใบไม้ผลิปี 2022
ปัจจุบันสหรัฐฯ เริ่มมีการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในกลุ่มผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอเป็นพิเศษ, ผู้ที่อายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป รวมถึงกลุ่มอาชีพเสี่ยงสูงที่ได้รับวัคซีนครบไปแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ขณะที่บางรัฐ รวมถึงนครนิวยอร์ก เริ่มกระจายวัคซีนบูสเตอร์ให้แก่ประชาชนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือคำแนะนำของรัฐบาลกลางด้วย
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขยังมีความเห็นแตกต่างกันไปว่า “การควบคุมโควิดได้” นั้นหมายถึงอะไรแน่ แต่สำหรับ นพ.เฟาซี มองว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ระดับ 50,000 คนต่อวันยังไม่ถือว่าเป็นการควบคุมที่ได้ผล และเขาไม่เห็นด้วยกับผู้ที่พยายามโต้แย้งว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปรับตัว “อยู่ร่วมกับโควิด”
“ผมคงไม่นั่งเฉยๆ ในขณะที่เรายังมีคนติดเชื้อเพิ่ม 70,000-80,000 คนต่อวัน และพูดว่า โอ...คงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้วล่ะ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันก็แล้วกัน ขอโทษที... นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเรา” นพ.เฟาซี กล่าว
“สำหรับผม โรคประจำถิ่นหมายถึงการที่คนจำนวนมากต้องได้รับวัคซีน คนจำนวนมากต้องได้ฉีดเข็มกระตุ้น และต่อให้คุณไม่สามารถกำจัดโรคนี้ให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง แต่การติดเชื้อก็จะไม่ครอบงำชีวิตคุณอีกต่อไป”
นพ.เฟาซี ยืนยันว่า การฉีดวัคซีนบูสเตอร์จะช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง และแม้จะยังระบุไม่ได้ว่าภูมิจะตกลงเร็วแค่ไหน แต่ก็มีโอกาสที่วัคซีนเข็มกระตุ้นจะนำไปสู่กระบวนการที่เรียกว่า ‘affinity maturation’ ซึ่งหมายถึงการที่ร่างกายสามารถสร้างแอนติบอดีออกมามากขึ้น และมีประสิทธิภาพในการจับกับแอนติเจนหรือตัวไวรัสได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ที่มา: รอยเตอร์