ชนเผ่าเมารีซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในนิวซีแลนด์ออกมาเรียกร้องวานนี้ (15 พ.ย.) ให้พวกต่อต้านวัคซีนหยุดนำท่าเต้น ‘Ka Mate’ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการเต้น ‘ฮากา’ ประจำเผ่าไปใช้ในการชุมนุมประท้วง
กฎหมายนิวซีแลนด์ให้การรับรองว่าชนเผ่า Ngati Toa ซึ่งเป็นชาวเมารีที่อาศัยอยู่บริเวณตอนใต้ของเกาะเหนือ คือเจ้าของวัฒนธรรมการเต้น Ka Mate ซึ่งเวลานี้ถูกบรรดาผู้ต่อต้านมาตรการคุมเข้มโควิด-19 นำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย
“ชนเผ่า Ngati Toa ขอประณามการนำท่าเต้นฮากา Ka Mate ไปใช้โปรโมตแนวคิดต่อต้านการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19” ชนเผ่าระบุในคำแถลง
“เราขอเรียกร้องให้ผู้ประท้วงหยุดนำมรดกทางวัฒนธรรมของเราไปใช้ในทันที”
ฮากาซึ่งเป็นการเต้นของชาวเมารีเพื่อปลุกใจก่อนออกศึกนั้นมีอยู่หลายรูปแบบด้วยกัน แต่ Ka Mate เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากเป็นท่าที่ทีมรักบี้ทีมชาติ All Blacks ของนิวซีแลนด์นำไปเต้นก่อนจะเริ่มการแข่งขันมานานกว่า 100 ปีแล้ว
ท่าเต้นซึ่งประกอบด้วยการกระทืบเท้า แลบลิ้น และกลอกตาได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกในนิวซีแลนด์ และมักถูกนำไปใช้ในกิจกรรมสำคัญๆ เช่น พิธีแต่งงาน หรืองานศพ เป็นต้น
เมื่อปี 2014 รัฐสภานิวซีแลนด์ได้ออกกฎหมายรับรองให้ชนเผ่าเมารี Ngati Toa เป็นเจ้าของวัฒนธรรมการเต้นฮากา แต่ไม่ได้กำหนดบทลงโทษในกรณีที่มีผู้นำไปใช้อย่างไม่สมควร
เฮลมุต มอดลิก ผู้นำชนเผ่า Ngati Toa ออกมาวิจารณ์กลุ่มต่อต้านวัคซีนว่า “เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว มากกว่าความอยู่รอดของส่วนรวม”
“บรรพบุรุษของเราล้มตายเพราะโรคระบาดไปแล้วมากมายในอดีต เผ่าของเราก็เผชิญความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ด้วยเหตุนี้เราจึงเชื่อว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 คือวิธีป้องกันที่ดีที่สุดที่มีอยู่ และเราขอสนับสนุนให้คนในครอบครัวของเราไปฉีดวัคซีนกันโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้”
มาตรการล็อกดาวน์และปิดพรมแดนเข้มงวดส่งผลให้นิวซีแลนด์ซึ่งมีประชากรราว 5 ล้านคนสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม และมียอดผู้เสียชีวิตสะสมเพียง 33 รายตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ปี
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลหันมาใช้นโยบาย “ไม่ฉีดวัคซีน ก็ไม่มีงานทำ” หรือ “no jab, no job” ก็ทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจ และออกมาชุมนุมต่อต้านตามเมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ
ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ที่นำท่าเต้น “ฮากา” มาใช้ก็คือชาวเมารี ขณะที่นายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น ยอมรับว่าชนพื้นเมืองหนุ่มสาวกำลังตกเป็นเหยื่อการเผยแพร่ข้อมูลบิดเบือน
ที่มา: เอเอฟพี