อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ยื่นฟ้องศาลเพื่อขัดขวางไม่ให้คณะกรรมการสอบสวนของสภาผู้แทนราษฎรเข้าถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเหตุจลาจลที่อาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. โดยอ้างว่าเป็นคำขอที่มิชอบด้วยกฎหมาย
ในเอกสารคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงประจำเขตโคลัมเบีย ทรัมป์ อ้างว่าบันทึกทำเนียบขาวที่คณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรต้องการตรวจสอบนั้นได้รับการคุ้มครองภายใต้หลัก “เอกสิทธิ์ของฝ่ายบริหาร” (executive privilege) ซึ่งอนุญาตให้บันทึกการสื่อสารบางฉบับของทำเนียบขาวถูกปิดเป็นความลับ
เจสส์ บิลนอลล์ ทนายของทรัมป์ ระบุในคำฟ้องว่า คำขอของคณะกรรมการสภาผู้แทนราษฎรนั้น “เกินขอบเขต” และ “ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทางกฎหมายอันชอบธรรม”
กลุ่มผู้สนับสนุนทรัมป์หลายร้อยคนได้บุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค. ในความพยายามที่จะสกัดไม่ให้สภาคองเกรสประกาศรับรองชัยชนะของ โจ ไบเดน ในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้ถูกตั้งข้อหาอาชญากรรมไปมากกว่า 600 คน
สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติถอดถอน ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนหมดวาระ ด้วยข้อหาปลุกปั่นยั่วยุให้ผู้สนับสนุนก่อจลาจล ทว่าต่อมาวุฒิสภาได้ลงมติให้ ทรัมป์ พ้นจากข้อครหา และไม่ต้องถูกถอดถอน
เมื่อต้นเดือน ต.ค. ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ได้อนุมัติให้หอจดหมายเหตุแห่งชาติ (National Archives) ส่งมอบเอกสารชุดแรกที่คณะกรรมการสภาผู้แทนฯ ขอดู ซึ่งทางหอสมุดเตรียมที่จะส่งให้ในเดือน พ.ย. นี้ และ ทรัมป์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ยับยั้งกระบวนการดังกล่าว
ไมเคิล สเติร์น อดีตสมาชิกรัฐสภา ระบุว่า ทรัมป์ กำลังใช้ยุทธศาสตร์ฟ้องร้องดำเนินคดี (litigation) เพื่อทำให้กระบวนการตรวจสอบของสภาคองเกรสต้องหยุดชะงัก
“ก็ถ้าเขาพร้อมจ่ายเงินจ้างทนาย ทรัมป์ก็อาจจะขัดขวางการเปิดเผยบันทึกไปได้อีกสักระยะหนึ่ง” สเติร์น กล่าว
คณะกรรมการสอบสวนของสภาผู้แทนฯ ยังออกหมายเรียกที่ปรึกษาบางคนของ ทรัมป์ เข้าให้ปากคำ หนึ่งในนั้นคือ “สตีฟ แบนนอน” ซึ่งเป็นผู้วางยุทธศาสตร์การเมืองให้กับทรัมป์ ทว่า แบนนอน ยังปฏิเสธไม่ไปให้ปากคำตามหมายเรียก โดยอ้างว่าจะรอให้เรื่องที่ ทรัมป์ อ้าง ‘executive privilege’ ได้รับการวินิจฉัยจากศาล หรือมีข้อสรุปจากการเจรจากับคณะกรรมการสอบสวนเสียก่อน
ที่มา: รอยเตอร์