ศาลเกาหลีใต้พิพากษาวันนี้ (7 ต.ค.) ว่าการที่กองทัพสั่งปลดนายทหารซึ่งไปผ่าตัดแปลงเพศมานั้นถือว่า “ไม่เป็นธรรม” นับเป็นคำตัดสินประวัติศาสตร์ในคดีตัวอย่างที่จุดกระแสโกรธเกรี้ยวในหมู่ชาวแดนโสม หลังจากที่ทหารข้ามเพศรายนี้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย
สังคมเกาหลีใต้ยังมีแนวคิดอนุรักษนิยมเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศค่อนข้างสูง และยังไม่ยอมรับในสิทธิของกลุ่มเพศทางเลือก LGBT มากเท่ากับหลายๆ ประเทศในเอเชีย
บยอน ฮีซู (Byun Hee-soo) ซึ่งเป็นทหารยศจ่าสิบตรีในวัย 20 เศษๆ ตัดสินใจสมัครเข้ารับใช้ชาติเมื่อปี 2017 ก่อนจะเดินทางมาผ่าตัดแปลงเพศในไทยเมื่อปี 2019 เนื่องจากไม่มีความสุขกับเพศสภาวะของตนเอง
อย่างไรก็ตาม การสูญเสียอวัยวะเพศชายทำให้เธอถูกกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้จัดเป็น “ผู้พิการทางร่างกายหรือจิตใจ” และคณะกรรมการทบทวนการปฏิบัติหน้าที่ได้มีคำสั่งเมื่อเดือน ม.ค. ปีที่แล้วให้เธอถูกบังคับปลดประจำการ
บยอน มองว่าตนถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และได้อุทธรณ์คำสั่งปลดของกองทัพ ทว่าก็ไม่เป็นผล
เธอตัดสินใจฟ้องศาลในเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ก่อนจะถูกพบเป็นศพในบ้านพักที่เมืองชองจู (Cheongju) เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
ล่าสุด ศาลแขวงเขตแดชอนมีคำตัดสินในวันนี้ (7 ต.ค.) ว่า กองทัพเกาหลีใต้ควรที่จะให้การยอมรับความเป็นเพศหญิงของ บยอน อย่างเป็นทางการ
“เนื่องจากเธอได้ยื่นคำร้องขอแปลงเพศต่อศาล และส่งรายงานต่อกองทัพแล้ว เธอจึงสมควรได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้หญิง หลังจากที่โรงพยาบาลทหารตรวจประเมินศักยภาพด้านการปฏิบัติหน้าที่ของเธอ” สำนักข่าวยอนฮัปอ้างคำพิพากษาของศาล
กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้บอกกับสื่อเอเอฟพีว่า “เคารพคำตัดสินของศาล” และยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่
เกาหลีใต้มีกฎหมายที่กำหนดให้ชายทุกคนซึ่งมีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารเป็นเวลาเกือบ 2 ปี แต่สำหรับกรณีของ บยอน นั้น เธอเลือกสมัครเข้าเป็นทหารเอง และเคยให้สัมภาษณ์เปิดใจกับสื่อเมื่อปีที่แล้วว่า การเป็นทหารรับใช้ชาติคือ “ความฝัน” ตั้งแต่วัยเด็ก
การเสียชีวิตของ บยอน ได้จุดกระแสเรียกร้องให้รัฐสภาเกาหลีใต้ผ่านกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติต่อเพศทางเลือก
องค์กรสิทธิมนุษยชนนานาชาติแสดงความกังวลเรื่องการเลือกปฏิบัติต่อทหารเกย์ในกองทัพเกาหลีใต้ ซึ่งถูกห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมแบบรักร่วมเพศ และอาจโดนโทษจำคุกถึง 2 ปีหากถูกจับได้ว่าละเมิดกฎ แม้การกระทำดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายสำหรับพลเรือนทั่วไปก็ตาม
ที่มา: เอเอฟพี