xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus: ‘อังเกลา แมร์เคิล’ อำลาตำแหน่งนายกฯ เยอรมนี ปิดฉาก 16 ปี ‘ผู้นำหญิงเหล็กแห่งยุโรป’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล แห่งเยอรมนี
นับเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเยอรมนี เมื่อ “อังเกลา แมร์เคิล” นายกรัฐมนตรีหญิงเหล็กซึ่งเป็นเสมือนผู้นำโดยพฤตินัยของยุโรป ตัดสินใจยุติบทบาททางการเมือง ปิดฉากการบริหารประเทศเอาไว้ที่ 4 สมัย รวมระยะเวลา 16 ปี ด้วยคะแนนนิยมที่พอสู้ศึกเลือกตั้งและอาจครองเก้าอี้ผู้นำสมัยที่ 5 ได้อย่างสบายๆ หากว่าเธอปรารถนาเช่นนั้น

แมร์เคิล ได้รับการยกย่องจากผู้สนับสนุนว่าเป็นผู้นำสายกลางที่สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับยุโรป และใช้แนวทางปฏิบัตินิยมจนสามารถนำพาภูมิภาคผ่านพ้นมรสุมใหญ่น้อยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ขณะที่นักวิจารณ์บางคนค่อนแคะว่าเธอขาดวิสัยทัศน์ที่เด็ดเดี่ยวในการเตรียมยุโรปและเยอรมนีให้พร้อมสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกหลายสิบปีข้างหน้า

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แมร์เคิล ถูกมองว่าเป็นหญิงแกร่งที่คอย “ถ่วงดุล” กับบรรดาชายผู้ทรงอำนาจซึ่งมักจะก่อความยุ่งเหยิงให้แก่โลก อย่างเช่นอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย เป็นต้น

แมร์เคิล ซึ่งเวลานี้เป็นผู้นำที่อาวุโสสูงสุดในอียูและกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของเยอรมนีเมื่อปี 2005 โดยร่วมสมัยกับอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช แห่งสหรัฐฯ, อดีตนายกรัฐมนตรี โทนี แบลร์ ของอังกฤษ และอดีตประธานาธิบดี ฌาคส์ ชีรัค แห่งฝรั่งเศส

แมร์เคิล มีชื่อโดยกำเนิดว่า อังเกลา โดโรเทอา คัสเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 17 ก.ค. ปี 1954 ณ เมืองท่าฮัมบวร์ก โดยเป็นบุตรสาวของนักบวชนิกายลูเธอรัน

บิดาของเธอได้รับมอบหมายให้ไปประจำการที่เมืองเพอร์เลเบิร์กในเยอรมันตะวันออก ซึ่งทำให้ แมร์เคิล ได้เติบโต เรียนหนังสือ และเริ่มต้นชีวิตการทำงานที่นั่น เธอเรียนจบสาขาฟิสิกส์ และศึกษาต่อจนได้ปริญญาเอกปรัชญาสาขาควอนตัมเคมี ก่อนจะออกมาทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์

นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล และบรรดาผู้นำกลุ่ม G7 ยืนรุมล้อมประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ระหว่างการประชุมซัมมิตที่รัฐควิเบกของแคนาดา เมื่อเดือน มิ.ย. ปี 2018
แมร์เคิล เริ่มก้าวสู่เส้นทางสายการเมืองในปี 1989 โดยดำรงตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลเยอรมนีตะวันออก ต่อมาเมื่อมีการรวมประเทศเยอรมนีในปี 1990 เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาจากรัฐเมคเลินบวร์ค-ฟอร์พ็อมเมิร์น และได้รับแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี เฮลมุต โคห์ล ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสตรีและเยาวชน และรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม, อนุรักษ์ธรรมชาติ และความปลอดภัยทางนิวเคลียร์

หลังพรรคสหภาพประชาธิปไตยคริสเตียน (CDU) ที่เธอสังกัดพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ค.ศ. 1998 แมร์เคิล ก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการพรรค และก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคในอีกสองปีต่อมา จนกระทั่งก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของเยอรมนีในปี 2005

แมร์เคิล เก่งวิชาคณิตศาสตร์ และยังรู้ภาษารัสเซียด้วย ซึ่งทำให้เธอสามารถสนทนาโดยตรงกับผู้นำคนสำคัญของโลกอย่าง “วลาดิมีร์ ปูติน” ซึ่งเคยเป็นสายลับ KGB อยู่ที่เมืองเดรสเดน ในยุคก่อนที่กำแพงเบอร์ลินจะถูกทำลายลงในปี 1989

แมร์เคิล สมรสกับ “อุลริช แมร์เคิล” ในปี 1977 ก่อนที่จะหย่าร้างกันในอีก 5 ปีต่อมา ทว่าเธอยังคงเลือกที่จะใช้นามสกุลของสามีคนแรก ต่อมาเธอได้แต่งงานใหม่กับ “โยอาคิม เซาเออร์” ซึ่งเป็นนักเคมีควอนตัมในปี 1998 โดยทั้งคู่ไม่มีบุตรด้วยกัน

ก่อนที่โลกจะเผชิญกับวิกฤตโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ผลงานที่โชว์ความเด็ดเดี่ยวมากที่สุดของ แมร์เคิล เห็นจะหนีไม่พ้นการสั่งเปิดพรมแดนเยอรมนีรับผู้อพยพกว่า 1 ล้านคนที่หนีภัยสงครามมาจากลิเบีย, ซีเรีย และแอฟริกาเข้าประเทศในปี 2015 แต่ถึงแม้ว่าคนเยอรมันจำนวนไม่น้อยจะขานรับคำขวัญ “เราทำได้” ของเธอ แต่นโยบายนี้ก็มีส่วนปลุกกระแสลัทธินีโอนาซี และทำให้พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี (AfD) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดที่มีจุดยืนต่อต้านผู้อพยพได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นจนคว้าที่นั่ง ส.ส. ในสภาได้เป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการพลิกประวัติศาสตร์ของฝ่ายชาตินิยมในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

แมร์เคิล ยังได้ฉายาว่า ‘climate chancellor’ ซึ่งมาจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทของเธอในเวทีนานาชาติเกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน

หนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญของ แมร์เคิล เกิดขึ้นเมื่อปี 2011 หลังเหตุการณ์แผ่นดินไหว-สึนามิในญี่ปุ่น โดยเธอตัดสินใจสั่งปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศทันที พร้อมประกาศแผนยุติการพึ่งพาพลังงานปรมาณูในการผลิตกระแสไฟฟ้าอย่างถาวรภายในปี 2022 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินอย่างถาวรภายในปี 2038

อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมรุ่นใหม่ๆ ออกมาครหาว่า แมร์เคิล ล้มเหลวในการแก้ไขวิกฤตฉุกเฉินด้านสภาพอากาศ และไม่สามารถทำให้เยอรมนีบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกได้ตามที่ให้สัญญาไว้

นายกฯ แมร์เคิล ขณะกำลังให้อาหารนกแก้วในสวนนกที่เมืองมาร์โลว์ ประเทศเยอรมนี หนึ่งในอิริยาบถสบายๆ ของผู้นำหญิงเหล็กแห่งยุโรป
ในปี 2009 หลายประเทศในยุโรปเผชิญวิกฤตหนี้สาธารณะ โดยเริ่มต้นจากกรีซ ลามไปยังโปรตุเกส อิตาลี สเปน ไอร์แลนด์ และไซปรัส กระทั่งเกิดความกังวลกันว่าปัญหาหนี้สาธารณะจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่จนทำให้เงินสกุล “ยูโร” ล่มสลาย

ตอนนั้น แมร์เคิล ยืนกรานเสียงแข็งให้ประเทศที่มีหนี้สินล้นพ้นต้องยอมรับเงื่อนไข “รัดเข็มขัด” หรือตัดลดรายจ่ายอย่างจริงจัง ขึ้นภาษี และลดเงินสวัสดิการต่างๆ ที่ให้กับประชาชน เพื่อแลกกับแพ็กเกจช่วยเหลือ ซึ่งทำให้เธอถูกประชาชนในชาติลูกหนี้ตั้งฉายาว่า “ราชินีแห่งการรัดเข็มขัด” (austerity queen) และยังเปรียบเทียบเธอว่าโหดร้ายใจดำเหมือนพวกนาซี แต่ก็มีหลายคนที่ออกมาปกป้องแมร์เคิล และมองว่าจุดยืนของเธอทำให้ยูโรโซนผ่านพ้นวิกฤตมาได้

เมื่อไม่นานมานี้ แมร์เคิล ยอมรับว่ารัฐบาลของเธอยังรับมือโควิด-19 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร และการกระจายวัคซีนเป็นไปอย่างล่าช้า แต่ในความเป็นจริงจะเห็นได้ว่า ยอดผู้เสียชีวิตในเยอรมนีนั้นยังต่ำกว่าเพื่อนบ้านในยุโรปเมื่อเทียบต่อหัวประชากร

แมร์เคิล ผู้ซึ่งชาวเยอรมันเรียกขานด้วยความรักว่า ‘Mutti’ หรือ “คุณแม่” ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในอียูหรือองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) แต่ตัวเธอเองขอเลือกที่จะไม่ทำงานด้านการเมืองอีกต่อไป

ผลสำรวจ YouGov เมื่อเดือน ส.ค. พบว่า แมร์เคิล มีคะแนนนิยมสูงที่สุดในบรรดาผู้นำ 5 ประเทศชั้นนำของยุโรปและสหรัฐอเมริกา ขณะที่โพลของสถาบันวิจัยพิวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 77% จากทั้งหมด 18,000 คนใน 16 ประเทศประชาธิปไตยที่มีเศรษฐกิจก้าวหน้ายังให้ความไว้วางใจ แมร์เคิล ในระดับสูง และเชื่อว่าเธอจะตัดสินใจ “ทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมต่อกิจการสากล”

พนักงานชาวเยอรมันถอดป้ายโฆษณาที่มีภาพของนายกฯ แมร์เคิล พร้อมสโลแกน “แม่แห่งชาติ” ออก ก่อนถึงศึกเลือกตั้งรัฐสภาเมื่อวันที่ 27 ก.ย.
กำลังโหลดความคิดเห็น