ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ถลกแขนเสื้อเข้ารับวัคซีนโควิด-19 เข็ม 3 ในวันจันทร์(27ก.ย.) หวังเป็นแบบอย่างอันทรงพลังโน้มน้าวอเมริกาชนเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้น ท่ามกลางข้อถกเถียงเกี่ยวกับความจำเป็นของเข็ม 3 ในขณะที่ประชาชนอีกหลายล้านคนทั้งในสหรัฐฯเองและทั่วโลก ยังไม่ได้ฉีดแม้แต่เข็มเดียว
"เข็มกระตุ้นมีความสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือเราจำเป็นต้องดึงประชาชนเข้ารับวัคซีนเพิ่มขึ้น" เขากล่าว เน้นย้ำว่ามีประชาชนในสหรัฐฯราวๆ 23% ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ(ซีดีซี) สนับสนุนการฉีดวัคซีนเของไฟเซอร์/ไบออนเทคเข็มกระตุ้น สำหรับอเมริกันชนอายุ 65 ปีขึ้นไป ประชากรวัยผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว และคนที่มีหน้าที่การงานเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อโควิด-19
มิตช์ แม็คคอนเนลล์ แกนนำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา ก็เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเช่นกันในวันจันทร์(27ก.ย.) "อเมริกันชนทุกคนควรปรึกษาพูดคุยกับแพทย์ประจำตัวและเข้ารับวัคซีน" เขากล่าว
ไบเดน วัย 78 ปี เปิดเผยว่า จิลล์ ภรรยาของเขาก็จะฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเร็วๆนี้เช่นกัน ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯปฏิเสธเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าอเมริกาควรแจกจ่ายวัคซีนแก่ทั่วโลกเพิ่มเติม แล้วถึงค่อยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นภายในประเทศ "เรากำลังช่วยเหลืออยู่ เรากำลังทำมากกว่าประเทศอื่นๆในโลกทำรวมกัน" เขากล่าว
แม้พวกนักวิทยาศาสตร์ยังมีความเห็นต่างกันเกี่ยวกับความจำเป็นฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เนื่องจากยังมีผู้คนอีกจำนวนมากทั้งในสหรัฐฯและประเทศอื่นๆยังคงไม่ได้รับวัคซีน แต่ ไบเดน ประกาศเดินหน้าในเดือนสิงหาคม ส่วนหนึ่งในความพยายามยกระดับการป้องกันการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก
สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ(เอฟดีเอ) ระบุว่าในตอนนี้ มีเพียงคนที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ครบ 2 เข็มมาแล้วอย่างน้อย 6 เดือน ถึงมีสิทธิ์ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนคำขอฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นของโมเดอร์นายังไม่ได้เข้าสู่การพิจารณา ขณะที่จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ยังไม่ได้ยื่นเรื่องเข้ามา
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯระบุว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนาในประเทศ กำลังกลายเป็น "การระบาดใหญ่ในหมู่ผู้ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน" ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น ระดับรัฐและรัฐบาลกลาง เช่นเดียวกับนายจ้างเอกชน พยายามตอบโต้ด้วยการบังคับฉีดวัคซีน หรือไม่ในบางกรณี ก็ต้องเข้ารับการตรวจเชื้อเป็นประจำ
ความพยายามผลักดันฉีดวัคซีนมีขึ้น ในขณะที่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทั่วสหรัฐฯกำลังสร้างความตึงเครียดแก่ระบบสาธารณสุขเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีความเป็นไปได้ว่าภาวะคับขันของระบบสาธารณสุขจะถูกซ้ำเติมให้หนักหน่วงขึ้นไปอีก จากกรณีที่แพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจำนวนมากปฏิเสธฉีดวัคซีน
(ที่มา:รอยเตอร์)