เอเจนซีส์ - "หัวเว่ย"ลดการผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนลงหลังวอชิงตันใช้มาตรการจำกัดการขายเทคโนโลยีสหรัฐฯพบรายได้ครึ่งปีแรกของปีนี้ตกฮวบไปอยู่ที่ 20.5 พันล้านดอลลาร์ แต่ซีอีโอใหญ่ เหริน เจิ้งเฟย ยังไม่ยอมแพ้ หันหน้ามุ่งไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมาร์ทคาร์แทน แอบสั่งซื้อชิปเซมิคอนดักเตอร์ส่วนประกอบรถยนต์จากสหรัฐฯมูลค่ามูลค่าหลายร้อยล้านดอลลาร์และยังให้ความสนใจในอุตสาหกรรมอวกาศ
สปุตนิกนิวส์ สื่อรัสเซียรายงานวันนี้(15 ก.ย)ว่า บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่จีน หัวเว่ยไม่ได้ตกอยู่ในความโกลาหลหลังสหรัฐฯใช้มาตรการจำกัดการขายเทคโนโลยีอเมริกันรวม เซมิคอนดักเตอร์ ให้กับหัวเว่ย แต่กลับทำให้หัวเว่ยมีความเป็นหนึ่งเดียวมากกว่าที่เคยมีมาและได้ดึงดูดบุคคลที่มีความชาญฉลาดเพิ่มมากขึ้น ผู้ก่อตั้งและซีอีโอใหญ่ เหริน เจิ้งเฟย กล่าว
สื่อรัสเซียชี้ว่า เขาได้แสดงความเห็นนี้ระหว่างการประชุมภายในบริษัทเมื่อต้นสิงหาคม และเนื้อหาการประชุมถูกเปิดเผยทางสาธารณะในวันนี้( 15 ก.ย)
เหรินชี้ว่า ถึงแม้ว่ารายได้ของบริษัทจะลดลงเนื่องมาจากยอดขายของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนต่ำลงแต่ทว่าบริษัทที่มีฐานอยู่ในจีนไม่หยุดการว่าจ้างโดยเฉพาะในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์
และซีอีโอหัวเว่ยชี้ต่อว่า วิธีเดียวที่จะเอาชนะมาตรการจำกัดของสหรัฐฯที่ส่งผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยคือการลงทุนในวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
ทั้งนี้พบว่าหัวเว่ยได้ว่าจ้างพนักงานใหม่จำนวน 3,000 คนในช่วงระหว่างปลายปี 2019 ถึงปลายปี 2020 ซึ่งกว่าครึ่งของทั้งหมดเป็นนักวิทยาศาสตร์
เหรินยอมรับว่าทั้งประเทศจีนและบริษัทนั้นล้าหลังอยู่หลายด้านในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เป็นต้นว่า เครื่องมือประเภทเครื่องจักร อุปกรณ์ เทคนิกด้านกระบวนการ เครื่องมือ และการวิจัยที่จะนำไปสู่วัสดุใหม่และตัวเร่งปฎิกริยา
ทั้งนี้ในการประชุมภายใน ซีอีโอใหญ่ยอมรับว่าบริษัทเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานโดยสิ้นเชิง โดยหัวเว่ย "จะไม่สรรหาการใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุดเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดอีกต่อไป" แต่ต่อไปนี้หัวเว่ยเลือกที่จะวิธีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในการผลิตการจราจรที่สมดุลข้ามระบบและสร้างส่วนประกอบสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นมา
เหรินอ้างว่า วิธีนี้ได้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญต่อผลกำไรของทางบริษัท สปุตนิวส์รายงาน
ทั้งนี้พบว่ารายได้ของหัวเว่ยในรอบครึ่งปีแรกของปี 2021 ตกลงไปอย่างหนักโดยไปอยู่ที่ 20.5 พันล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และยังต่ำกว่าในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2019 และปี 2018 อ้างอิงจากรายงานของหัวเว่ย
การตกลงของรายได้เกิดขึ้นหลังจากที่วอชิงตันตัดสินใจแบนการส่งออกเทคโนโลยีสหรัฐฯไปยังไม่กี่บริษัทในประเทศจีนรวม หัวเว่ย โดยบริษัทเทคโนโลยีจีนเหล่านี้ยังถูกตัดขาดจากบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ชื่อดังของสหรัฐฯที่ป้อนวัตุถุดิบชิปเซมิคอนดักเตอร์ให้กับการผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของจีน และแม้แต่ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ของกูเกิลยังต้องถูกสั่งห้ามใช้ในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของจีน เป็นต้นว่า หัวเว่ย ทำให้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของหัวเว่ย
สปุตนิวส์ชี้ว่า การแบนส่งออกเทคโนโลยีสหรัฐฯไปให้กับบริษัทโทรคมนาคมจีนเกิดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และยังคงบังคับใช้อยู่ต่อไปไม่เปลี่ยนในสมัยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในปัจจุบัน
และในการประชุม เหรินยังตั้งความหวังว่าจะนำบริษัทก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมาร์ทคาร์แทน โดยในรายงานพิเศษของรอยเตอร์เมื่อวันที่ 25 ส.คพบว่า สหรัฐฯได้อนุมัติคำขออนุญาตไลเซ่นมูลค่าหลายร้อยล้านให้กับหัวเว่ยในการซื้อชิปเซมิคอนดักเตอร์สำหรับส่วนประกอบยานยนต์ของตัวเอง เป็นต้นว่า เซนเซอร์ และจอวิดีโอ
ทั้งนี้เซมิคอนดักเตอร์สำหรับรถยนต์ไม่ถือว่าเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงทำให้สามารถได้รับการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯได้ง่ายกว่า รอยเตอร์ชี้
และนอกเหนือจากสมาร์ทคาร์แล้ว รอยเตอร์รายงานว่า หัวเว่ยยังแสดงความสนใจในเทคโนโลยีอวกาศ โดยมีสัญญาณที่แสดงออกมาถึงความคาดหวังของหัวเว่ยจากการที่หลังจากบริษัทซัพพลายเออร์ได้รับอนุญาตให้สามารถในการขายชิปเซมิคอนดักเตอร์มูลค่าหลายสิบล้านดอลลาร์ให้กับหัวเว่ย พบว่าบริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีนสั่งให้บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯเหล่านี้ยื่นคำขออีกครั้งแต่มีมูลค่าสูงกว่าครั้งแรกเป็นจำนวนหนึ่งหรือสองพันล้านเป็นต้น หนึ่งในแหล่งข่าวเปิดเผยกับรอยเตอร์ โดยไลเซนเหล่านี้มีอายุราว 4 ปี