xs
xsm
sm
md
lg

หลังจาก 9/11 ผ่านพ้นมา 20 ปี ‘ตอลิบาน’ยืนยันอีกครั้งว่า ‘บิน ลาดิน’ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เปเป้ เอสโคบาร์


อุซามะห์ บิน ลาดิน ขณะอยู่ในที่ซ่อนตัวลับแห่งหนึ่งในอัฟกานิสถาน  ภาพนี้ถ่ายจากจอทีวี ตอนที่ อัล จาซีรา นำเอาคลิปวิดีโอชุดนี้มาออกอากาศเผยแพร่เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2001
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)

9/9 and 9/11, 20 years later
By PEPE ESCOBAR
09/09/2021

เราจะไม่มีทางรู้เลยถึงรูปร่างลักษณะอย่างสมบูรณ์ของปริศนาทั้งหมดที่ซ้อนอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่งของเรื่องลี้ลับซ่อนเงื่อน เมื่อมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับ 9/11 และประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกัน

เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เริ่มต้นด้วยการพูดถึงอาการสั่นไหวระลอกล่าสุด ของแผ่นดินไหวทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นชุด และสร้างความตื่นตะลึงไปทั่ว

20 ปีพอดิบพอดีภายหลังเหตุการณ์โจมตีสหรัฐฯเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2001 (9/11) และต่อเนื่องตามมาด้วยการเริ่มต้นของสงครามต่อสู้กับการก่อการร้ายทั่วโลก (Global War on Terror หรือ GWOT) ตอลิบานกำลังจะจัดพิธีขึ้นในกรุงคาบูลเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของพวกเขาใน “สงครามตลอดกาล” ที่ถูกนำทางไปอย่างผิดพลาดคราวนั้น

ส่วนประกอบหลักๆ 4 ส่วนของการบูรณาการในยูเรเชีย ซึ่งได้แก่ จีน, รัสเซีย, อิหร่าน, และปากีสถาน ตลอดจน ตุรกี และ กาตาร์ จะส่งตัวแทนเข้าร่วมอย่างเป็นทางการ เพื่อเป็นประจักษ์พยานการหวนกลับคืนอย่างเป็นทางการของ รัฐเอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน (Islamic Emirate of Afghanistan)

พร้อมกันนั้น ขณะที่โอกาสแห่งการทบทวนหวนรำลึกความหลังดำเนินมาถึงเช่นนี้ เรื่องต่อไปนี้ น่าจะถือเป็นเรื่องหนึ่งซึ่งมีความใหญ่โตระดับจักรวาลกันเลยทีเดียว

เรื่องราวยังเพิ่มดีกรีความเข้มข้นขึ้นอีก เมื่อเรามีโฆษกของตอลิลาน ซาบิฮุลเลาะห์ มูจาฮิด (Zabihullah Mujahid) ออกมาเน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีข้อพิสูจน์ใดๆ เลย” ว่า อุซามะห์ บิน ลาดิน มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับ 9/11 ดังนั้น จึง “ไม่มีเหตุผลความชอบธรรมใดๆ สำหรับการก่อสงคราม มันเป็นเพียงข้อแก้ตัวสำหรับก่อสงครามเท่านั้น” เขาระบุ
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dawn.com/news/1642873)

เพียงสองสามวันหลังจาก 9/11 ตัว อุซามะห์ บิน ลาดิน เอง ซึ่งไม่เคยแสดงความเหนียมความขี้อายในการประโคมโหมข่าวสิ่งที่ตัวเองกระทำ ได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งส่งไปถึงสื่อ อัล จาซีรา (Al Jazeera) บอกว่า “ผมใคร่ที่จะขอให้ทั่วโลกแน่ใจได้เลยว่า ผมไม่ได้เป็นผู้วางแผนดำเนินการโจมตีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งดูจะเป็นสิ่งที่วางแผนขึ้นมาโดยผู้คนซึ่งมีเหตุผลส่วนตัวของพวกเขา (...) ผมกำลังพำนักอาศัยอยูในรัฐเอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน และทำตามระเบียบกฎเกณฑ์ของเหล่าผู้นำของรัฐเอมิเรตอิสลามแห่งนี้ ผู้นำปัจจุบันนั้นไม่ยินยอมอนุญาตให้ผมดำเนินการปฏิบัติการทำนองนี้หรอก”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://edition.cnn.com/2001/US/09/16/inv.binladen.denial/)

ในวันที่ 28 กันยายน อุซามะห์ บิน ลาดิน ยังได้ให้สัมภาษณ์ การาจี อุมมัต (Karachi Ummat) หนังสือพิมพ์ภาษาอูรดู (ของปากีสถาน) ผมจำเรื่องนี้ได้ดี เนื่องจากผมกำลังเดินทางไปๆ มาๆ ไม่รู้จบสิ้นระหว่างกรุงอิสลามาบัด (เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน) กับเมืองเปชาวาร์ และ ซาลีม ชาห์ซาด (Saleem Shahzad) เพื่อนร่วมงานของผมในเมืองการาจี โทรศัพท์บอกเล่าเรื่องนี้ซึ่งทำให้ผมสนใจ
(เปชาวาร์ Peshawar เมืองเอกและเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นไคเบอร์ ปัคตุนควา Khyber Pakhtunkhwa ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายแดนอัฟกานิสถานนัก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Peshawar -ผู้แปล)

ต่อไปนี้เป็นคำแปลอย่างใกล้เคียงของบทสัมภาษณ์ของอุซามะห์ บิน ลาดิน ดังกล่าว ที่จัดทำโดย สำนักงานบริการข้อมูลข่าวสารจากวิทยุกระจายเสียงต่างประเทศ (Foreign Broadcast Information Service) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เชื่อมโยงกับซีไอเอ: “ผมได้พูดเอาไว้แล้วว่า ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับการโจมตีในสหรัฐฯเมื่อวันที่ 11 กันยายน ในฐานะเป็นชาวมุสลิม ผมพยายามอย่างดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการบอกเล่าเรื่องโกหก ผมนั้นไม่ได้มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับการโจมตีเหล่านี้ รวมทั้งผมก็ไม่ได้เห็นว่าการเข่นฆ่าสังหารพวกผู้หญิง, เด็กๆ, และมนุษย์คนอื่นๆ ที่บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จะเป็นการกระทำที่น้ำหนักความสำคัญอะไร อิสลามนั้นห้ามอย่างเข้มงวดไม่ให้ทำอันตรายต่อผู้หญิง, เด็กๆ, และคนอื่นๆ ที่บริสุทธิ์ไม่รู้อิโหน่อิเหน่

“ผมได้พูดเอาไว้แล้วว่า เรานั้นคัดค้านต่อต้านระบบอเมริกัน ไม่ได้คัดค้านต่อต้านประชาชนของอเมริกา ขณะที่ในการโจมตีเหล่านี้ ประชาชนอเมริกันคนสามัญได้ถูกเข่นฆ่า สหรัฐฯควรที่จะพยายามติดตามค้นหาพวกผู้กระทำผิดก่อการโจมตีเหล่านี้ภายในอเมริกาเอง พวกผู้คนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบสหรัฐฯ แต่กำลังรู้สึกไม่เห็นด้วยและคัดค้านอเมริกา

“หรือพวกที่กำลังทำงานให้แก่ระบบอื่นๆ บางระบบ, พวกบุคคลที่ต้องการทำให้ศตวรรษปัจจุบันนี้กลายเป็นศตวรรษแห่งการขัดแย้งสู้รบกันระหว่างอิสลามกับศาสนาคริสต์ เพื่อที่ว่าอารยธรรม, ชาติ, ประเทศ, หรือความคิดอุดมการณ์ของพวกเขาเองจะสามารถอยู่รอดต่อไปได้ นอกจากนั้นแล้วยังมีพวกหน่วยงานข่าวกรองในสหรัฐฯ ซึ่งเรียกร้องต้องการเงินงบประมาณเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์จากรัฐสภาสหรัฐฯและรัฐบาลสหรัคฐฯอยู่ทุกๆ ปี (...) พวกเขาจำเป็นที่จะต้องมีศัตรู”

นี่คือครั้งสุดท้ายที่ อุซามะห์ บิน ลาดิน อธิบายต่อสาธารณชนอย่างมีสาระสำคัญ เกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่ามีบทบาทใน 9/11 หลังจากนี้แล้ว เขาหายตัวไป และดูเหมือนกับหายไปตลอดกาลทีเดียว เมื่อถึงตอนต้นเดือนธันวาคม 2001 ในบริเวณภูเขาโตรา โบรา (Tora Bora) ผมเคยไปที่นั่นและยังกลับไปเยือนแบบไปสำรวจอย่างเต็มที่ในอีกหลายๆ ปีต่อมา
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aljazeera.com/opinions/2011/5/8/the-day-bin-laden-vanished-forever/)

อย่างไรก็ตาม อุซามะห์ ช่างเหมือนกับเป็น เจมส์ บอนด์ แบบอิสลาม โดยคอยสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการตายอยู่ทุกวี่วัน ตายซ้ำแล้วซ้ำอีก เริ่มต้นตั้งแต่ตายไปใน –จะเป็นที่ไหนอีกล่ะ - โตรา โบรา เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม อย่างที่รายงานเอาไว้โดยหนังสือพิมพ์ ปากีสตานี อ็อบเซอร์เวอร์ (Pakistani Observer) แล้วจากนั้นก็โดย ฟ็อกซ์ นิวส์ (Fox News)

ดังนั้น 9/11 จึงยังคงเป็นปริศนาที่อยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่งของเรื่องลี้ลับซ่อนเงื่อน

แล้วเรื่อง 9/9 ล่ะ คืออะไร มันเป็นเรื่องที่อาจจะเป็นเหมือนอารัมภบทนำไปสู่ 9/11 ใช่หรือไม่?

สัญญาณไฟเขียนจากท่านชีคตาบอด

“ท่าน ผบ.ถูกยิง”

นี่เป็นอีเมลเนื้อหารวบรัด ที่ส่งมาเมื่อวันที่ 9 กันยายน (9/9) โดยไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ ทั้งสิ้น การติดต่อกับหุบเขาปัญจ์ชีร์ (Panjshir) เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ --โทรศัพท์ที่สามารถใช้งานโดยรับส่งสัญญาณผ่านดาวเทียม ตอนนั้นยังพึ่งพาอาศัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ ผมจึงสามารถที่จะได้รับการยืนยันว่า อาหมัด ชาห์ มัสซูด (Ahmad Shah Massoud) ผู้ได้รับการเรียกขานตั้งฉายาให้แบบเป็นตำนานว่า “สิงห์แห่งปัญจ์ชีร์” (Lion of the Panjshir) ได้ถูกลอบสังหารเสียชีวิต –โดยนักรบญิฮาดของอัลกออิดะห์ 2 คน ซึ่งอ้างตัวเป็นลูกมือของช่างกล้องที่ไปถ่ายภาพสัมภาษณ์เขา

ในตอนที่เอเชียไทมส์ของเราไปสัมภาษณ์ มัสซูด เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2001 นั้น เขาบอกกับผมว่า เขากำลังสู้รบกับกลุ่มที่มีด้วยกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ อัลกออิดะห์, ตอลิบาน, และสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (Inter-Services Intelligence หรือ ISI) ของปากีสถาน หลังการสัมภาษณ์เสร็จสิ้นลงแล้ว เขาก็จากไปในรถแลนด์ครุซเซอร์ (Land Cruiser) แล้วจากนั้นก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปยัง ควาจา-บาฮุดดิน (Kwaja-Bahauddin) ที่ซึ่งเขาจะสรุปรายละเอียดขั้นสุดท้าย สำหรับการเปิดฉากโจมตีตอบโต้กลับเพื่อเล่นงานพวกตอลิบาน
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2001/09/masoud-from-warrior-to-statesman/)

การพูดกับผมในวันนั้นจึงเป็นการให้สัมภาษณ์ครั้งรองสุดท้ายของเขา ก่อนที่เขาจะถูกลอบสังหาร ขณะที่พวกภาพซึ่งถ่ายโดยช่างภาพ เจสัน ฟลอริโอ (Jason Florio) ตลอดจนถ่ายด้วยกล้อง มินิ-ดีวี (mini-DV) ของผม น่าจะสามารถพูดได้ว่าเป็นภาพถ่ายชุดท้ายสุดของ มัสซูด ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่

หนึ่งปีภายหลังการลอบสังหารคราวนั้น ผมได้ย้อนกลับไปที่ปัญจ์ชีร์เพื่อสำรวจสืบสวนยังสถานที่เกิดเหตุ โดยพึ่งพาอาศัยเพียงพวกแหล่งข่าวท้องถิ่นและคำยืนยันเกี่ยวกับรายละเอียดบางอย่างจากเปชาวาร์ การสำรวจสืบสวนนี้ปรากฏอยู่ในภาคแรกของ อี-บุ๊ค เอเชียไทมส์ เรื่อง “Forever Wars” ของผม
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/product/forever-wars-by-pepe-escobar-part-1/)

บทสรุปที่ได้มาก็คือ การที่ทีมช่างภาพปลอมได้รับไฟเขียวให้พบกับ มัสซูด ได้นั้น สืบเนื่องมาจากจดหมายฉบับหนึ่ง ซึ่งได้รับอุปถัมภ์จาก อับดุล ราซุล ไซยาฟ (Abdul Rasul Sayyaf) ขุนศึกที่เป็นทรัพย์สินของซีไอเอในระดับที่ต้องมีการเข้ารหัสลับ ทั้งนี้ จดหมายฉบับดังกล่าวเข้าลักษณะที่ว่า เป็น “ของขวัญ” ที่มอบให้แก่อัลกออิดะห์

เมื่อเดือนธันวาคม 2020 ปีเตอร์ เดล สกอตต์ (Peter Dale Scott) นักการทูตชาวแคนาดาผู้มีมูลค่าสูงลิ่วระดับประเมินไม่ได้ และก็เป็นนักเขียนคนหนึ่งในหลายๆ คนของหนังสือทรงอิทธิพลมากเรื่อง “The Road to 9/11 ” (พิมพ์เผยแพร่ในปี 2007) ได้ร่วมงานกับ แอรอน กู๊ด (Aaron Good) ซึ่งเป็นบรรณาธิการอยู่ที่นิตยสาร โคเวิร์ตแอคชั่น (CovertAction) ในการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานการสอบสวนที่โดดเด่นมากฉบับหนึ่ง ว่าด้วยการสังหาร มัสซูด ทั้งนี้พวกเขาเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไปจากของผม รวมทั้งพึ่งพาอาศัยพวกแหล่งข่าวชาวอเมริกันแทบทั้งหมด
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://covertactionmagazine.com/2020/12/09/was-the-now-forgotten-murder-of-one-man-on-september-9-2001-a-crucial-pre-condition-for-9-11/)

นักเขียนทั้งสองคนนี้ค้นพบว่า จอมบงการในการสังหารมัสซูดนั้น คนที่เราสามารถหยิบยกเหตุผลหลักฐานขึ้นมาระบุว่า “ใช่” ได้มากกว่า ไซยาฟ เสียอีก คือ โอมาร์ อับเดล เราะห์มาน (Omar Abdel Rahman) ท่านชีคตาบอดชาวอียิปต์ผู้มีชื่อฉาวลือกระฉ่อน ซึ่งเวลานั้นกำลังรับโทษจำคุกตลอดชีวิตอยู่ที่เรือนจำรัฐบาลกลางสหรัฐฯแห่งหนึ่ง จากข้อหาความผิดเรื่องที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันในการก่อเหตุระเบิดอาคารเวิลด์เทรดเซนเตอร์เมื่อปี 1993

ในบรรดาสิ่งมีค่าอย่างอื่นๆ ที่ เดล สกอตต์ กับ กู๊ด ค้นพบเพิ่มเติมอีกก็คือ พวกเขายืนยันสิ่งที่อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน นิอัซ นาอิค (Niaz Naik) ได้เคยบอกกับพวกสื่อมวลชนปากีสถานเอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 2001 ซึ่งก็คือ ฝ่ายอเมริกันมีทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมเอาไว้เข้าที่เข้าทางพรักพร้อมแล้วเพื่อการเข้าโจมตีอัฟกานิสถานตั้งแต่ก่อน 9/11 เสียอีก

คำพูดของ นาอิค เองในตอนที่บอกกับสื่อมวลชนปากีสถาน คือ “เราสอบถามพวกเขา (พวกตัวแทนชาวอเมริกัน) ว่า พวกคุณคิดว่าพวกคุณจะเข้าโจมตีอัฟกานิสถานกันเมื่อไหร่? ... พวกเขาตอบว่า ก่อนที่หิมะจะตกในคาบูล นี่หมายถึงเดือนกันยายน, ตุลาคม ประมาณนี้แหละ”

เหมือนกับที่พวกเราจำนวนมากได้ข้อสรุปที่มั่นอกมั่นใจในช่วงหลายๆ ปีภายหลัง 9/11 นั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของการที่สหรัฐฯกำลังพยายามสถาปนาตัวเองให้กลายเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ชนิดที่ไม่มีใครโต้แย้งได้สำหรับการช่วงชิงทรัพยากรแร่ธาตุครั้งใหม่ในเอเชียกลาง ปีเตอร์ เดล สกอตต์ เวลานี้ ก็ชี้ว่า “การรุกรานของสหรัฐฯทั้ง 2 ครั้ง นั่นคือ อัฟกานิสถานในปี 2001 และ อิรักในปี 2003 เหตุการณ์ทั้งคู่ต่างใช้ข้ออ้างบังหน้าซึ่งชวนสงสัยข้องใจกันตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และยิ่งหมดเครดิตลงไปเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้นไป

“สิ่งที่อยู่เบื้องลึกลงไปของสงครามทั้งสองครั้งนี้ ก็คือ การที่อเมริกาเข้าใจว่ามีความจำเป็นที่จะต้องเข้าควบคุมระบบเศรษฐกิจที่ยึดโยงอยู่กับเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นสิ่งที่คอยเกื้อหนุนอยู่เบื้องลึกลงไปของดอลลาร์น้ำมัน (petrodollar) ของสหรัฐฯ”

มัสซูด VS มุลลาร์ โอมาร์

เป็นความจริงที่ว่า เมื่อช่วงปลายทศวรรษ 1990 นั้น มุลลาห์ โอมาร์ แสดงความยินดีต้อนรับบรรดานักรบญิฮาดกลุ่มต่างๆ เข้าสู่อัฟกานิสถาน ไม่เพียงเฉพาะอัลกออิดะห์ที่เป็นชาวอาหรับเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงชาวอุซเบก, ชาวเชชเนีย, ชาวอินโดนีเซียล ชาวเยเมน— ผมเคยได้พบกับบางคนในพวกเขาเหล่านี้ ในคุกของ มัสซูด ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำในปัญจ์ชีร์ เมื่อเดือนสิงหาคม 2001

ตอลิบานในเวลานั้นได้จัดหาฐานที่ตั้งแห่งต่างๆ ให้แก่พวกเขาจริงๆ –รวมทั้งถ้อยคำส่งเสริมให้กำลังใจบางอย่างบางประการ –แต่การที่ตอลิบานมีทัศนะแบบถือชาติพันธุ์เป็นศูนย์กลางอย่างเหนียวแน่นลึกซึ้ง ทำให้พวกเขาไม่เคยมีความสนอกสนใจใดๆ เลยที่จะประกาศตัวเองเข้าสู่สงครามญิฮาดระดับโลก ในลักษณะเดียวกันกับ “คำประกาศของนักรบญิฮาด” (Declaration of Jihad) ซึ่งออกโดย อุซามะห์ ในปี 1996

จุดยืนอย่างเป็นทางการของตอลิบานมีอยู่ว่า เรื่องทำสงครามญิฮาดเป็นธุระของแขกมีผู้มีเกียรติของพวกเขา โดยไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับตอลบานและอัฟกานิสถาน ในความเป็นจริงแล้วในบรรดานักรบญิฮาดกลุ่มต่างๆ นั้น ไม่ได้มีชาวอัฟกันอยู่ด้วยเลย ชาวอัฟกันนั้นมีน้อยคนนักที่สามารถพูดภาษาอาหรับได้ พวกเขาไม่ได้หลงใหลในมนตร์เสน่ห์แห่งการได้เป็นผู้พลีชีพเพื่อศาสนา และได้อยู่บนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยหญิงบริสุทธิ์ พวกเขาชื่นชอบมากกว่าที่จะเป็น กาซี (ghazi) –เป็นผู้ชนะในสงครามญิฮาด ที่ยังคงมีชีวิตอยู่

เป็นไปไม่ได้เลย มุลลาห์ โอมาร์ ไม่สามารถสั่งให้ อุซามะห์ บิน ลาดิน เก็บของออกจากอัฟกานิสถานไป เนื่องจาก “ปาชตุนวาลี” (Pashtunwali) นั่นคือ แนวทางปฏิบัติอันมีเกียรติของชาวปาชตุน ซึ่งให้ความสำคัญแก่เรื่องการต้อนรับแขกผู้มาเยือน ถึงระดับที่ถือว่าเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ 9/11 เกิดขึ้นมา มุลลาห์ โอมาร์ จึงได้ปฏิเสธคำข่มขู่ของอเมริกันอีกคำรบหนึ่ง เช่นเดียวกับไม่ได้ฟังคำขอร้องจากฝ่ายปากีสถาน จากนั้นเขาก็ได้เรียกประชุมแบบชนเผ่า (tribal jirga) ที่มีมุลลาห์ระดับท็อปเข้าร่วมประมาณ 300 คน เพื่อให้การรับรองจุดยืนของเขา

แต่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของพวกเขานั้นมีข้อแตกต่างออกไปบ้างเล็กน้อย กล่าวคือ แน่นอนทีเดียว มุลลาร์ โอมาร์ ต้องให้การปกป้องคุ้มครองแขกของเขา แต่แขกก็ไม่สมควรสร้างปัญหาให้แก่เขา ด้วยเหตุนี้ อุซามะห์จะต้องจากไป ในแบบสมัครใจ

ในอีกด้านหนึ่ง ตอลิบานยังหาทางเดินไปในเส้นทางขนานอีกเส้นหนึ่ง ด้วยการขอให้ฝ่ายอเมริกันส่งหลักฐานการกระทำความผิดของอุซามะห์มาให้ ซึ่งก็ปรากฏว่าไม่มีอะไรส่งมาทั้งสิ้น เนื่องจากมีการตัดสินใจไปเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วว่าจะบอมบ์จะรุกราน

นั่นจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าหาก มัสซูด ยังคงมีชีวิตอยู่ มัสซูด คือนักรบปัญญาชนระดับคลาสสิก เขาเป็นนักชาตินิยมและวีรบุรุษประชานิยมชาวอัฟกันที่ผ่านการพิสูจน์รับรองกันมาแล้ว จากผลงานความสำเร็จทางการทหารอันน่าตื่นเต้นประทับใจ ทั้งในช่วงทำสงครามญิฮาดต่อต้านสหภาพโซเวย และการสู้รบต่อต้านเล่นงานตอลิบานอย่างไม่หยุดยั้งของเขา

ตอนที่รัฐบาลสังคมนิยมของพรรค PDPA ในอัฟกานิสถานล้มครืนลงในปี 1992 นั่นคือ 3 ปีหลังจากการสิ้นสุดของสงครามญิฮาดขับไล่โซเวียต มัสซูดสามารถที่จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างง่ายดาย หรือกระทั่งเป็นผู้ปกครองทรงอำนาจสิทธิ์ขาดในสไตล์วัฒนธรรมเติร์ก-เปอร์เซียยุคเก่า

แต่แล้วในตอนนั้นเขากลับทำความผิดพลาดอย่างเลวร้ายยิ่ง กล่าวคือ ด้วยความหวั่นเกรงว่าจะเกิดความตึงเครียดระหว่างชาติพันธุ์แผ่ลามออกไปจนควบคุมไม่ได้ เขาจึงปล่อยให้แก๊งนักรบมูจาฮีดีนซึ่งตั้งฐานอยู่ในเปชาวาร์มีอำนาจมากจนเกินไป และนั่นจึงนำไปสู่สงครามกลางเมืองในอัฟกานิสถานระหว่างปี 1992-1995 ซี่งมีการถล่มโจมตีอย่างไร้ความปรานีใส่กรุงคาบูลด้วยฝีมือของทุกๆ ฝักฝ่าย ที่กลายเป็นการแผ้วถางทางสำหรับการอุบัติขึ้นมาของตอลิบานผู้ประกาศเชิดชูการสร้าง “ความสงบเรียบร้อย” ขึ้นมาใหม่

ดังนั้นลงท้ายแล้วเขาจึงเป็นผู้บัญชาการทหารที่เก่งกาจมากกว่านักการเมืองผู้ทรงประสิทธิภาพ ตัวอย่างหนึ่งในเรื่องนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปี 1996 เมื่อตอลิบานเคลื่อนกำลังพลของพวกเขาเพื่อเข้าพิชิตคาบูล โดยบุกตีข้ามาจากภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน

มัสซูด ถูกโจมตีแบบไม่ได้มีการเตรียมตัวรับมืออะไรเอาเลย กระนั้นเขาก็ยังคงนำกองกำลังของเขาถอยเข้าสู่หุบเขาปัญจ์ชีร์ได้สำเร็จ โดยที่ไม่ได้ต้องเข้าสู้รบครั้งใหญ่ใดๆ และไม่ได้สูญเสียกำลังทหารอะไรมากมาย ขณะเดียวกันยังบดขยี้สร้างความเสียหายหนักให้แก่กองกำลังตอลิบานที่พยายามไล่ตามเขา

เขาเป็นผู้ก่อตั้งแนวป้องกันขึ้นมาในที่ราบโชมาลี (Shomali plain) ทางตอนเหนือของคาบูล นั่นเป็นแนวรบที่ผมเคยไปเยือนไม่กี่สัปดาห์ก่อน 9/11 บนเส้นทางมุ่งสู่สนามบินบากรัม (Bagram) ฐานทัพอากาศของกลุ่มพันธมิตรภาคเหนือในเวลานั้น ถึงแม้จริงๆ แล้ว สนามบินบากรัมตอนนั้นอยู่ในสภาพว่างเปล่าและเสื่อมโทรมเต็มที

สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนี้ ช่างตรงกันข้ามอย่างน่าเศร้ากับบทบาทของ มัสซูด ผู้ลูก ซึ่งในทางทฤษฎีเป็นผู้นำของ “กลุ่มต่อต้าน” ซึ่งมุ่งคัดค้าน ตอลิบานแห่งยุค 2.0 โดยปักหลักอยู่ในปัญจ์ชีร์ ทว่าวลานี้กลุ่มต่อต้านดังกล่าวได้ถูกปราบปรามราบคาบไปเสียแล้ว

มัสซูด ผู้ลูก ขาดไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิงไม่ว่าในการเป็นผู้บังคับบัญชาทหารหรือในฐานะนักการเมือง และถึงแม้ได้รับการยกย่องสรรเสริญในกรุงปารีสจากประธานาธิบดีมาครง หรือสามารถเขียนบทความได้รับการตีพิมพ์ในหน้าทัศนะความเห็นของสื่อมวลชนกระแสหลักของโลกตะวันตก แต่เขากลับทำความผิดพลาดอย่างร้ายแรงจากการยินยอมเชื่อฟังการชี้นำของบุคคลผู้ที่เป็นทรัพย์สินของซีไอเอ อย่าง อัมรุลเลาะห์ ซาเลห์ (Amrullah Saleh) ทั้งนี้อดีตนายใหญ่ของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (National Directory of Security หรือ NDS) ผู้นี้ เป็นคนที่กำกับดูแลหน่วยล่าสังหารในทางพฤตินัยของอัฟกานิสถาน

มัสซูด ผู้ลูก สามารถที่จะเรียกร้องบทบาทสำหรับตัวเขาเองในรัฐบาลตอลิบาน 2.0 ได้อย่างง่ายดาย แต่เขาทำลายโอกาสนั้นไป ด้วยการปฏิเสธไม่ยอมเจรจาอย่างจริงจังกับคณะผู้แทนที่ประกอบด้วยนักการศาสนาอิสลาม 40 คนที่ถูกส่งไปยังปัญจ์ชีร์ และด้วยการเรียกร้องต้องการตำแหน่งอย่างน้อยที่สุด 30% ในคณะรัฐบาลชุดใหม่

ลงท้ายแล้ว ซาเลห์หลบหนีไปโดยเฮลิคอปเตอร์ –ตอนนี้เขาออาจจะอยู่ในกรุงทาชเคนต์ เมืองหลวงของอุซเบกิสถาน ก็เป็นได้ — ส่วน มัสซูด ผู้ลูก เท่าที่มีข่าวปรากฏออกมานั้น ยังคงหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในบริเวณตอนเหนือของปัญจ์ชีร์

เครื่องจักรแห่งการโฆษณาชวนเชื่อ 9/11 กำลังจะทำงานอย่างสุดกำลังในวันเสาร์ (11 ก.ย.) นี้ –โดยที่เวลานี้กำลังพยายามใช้ประโยชน์จากเรื่องเล่าว่าด้วย “ผู้ก่อการร้าย” ตอลิบาน สามารถหักมุมหวนกลับมาครองอำนาจอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าสมบูรณ์พร้อมที่สามารถเรียกเสียงฮึดฮัดโกรธเกรี้ยวด้วยความรู้สึกว่าถูกหยามหยันจาก “จักรวรรดิแห่งความโกลาหลวุ่นวาย” (Empire of Chaos) เฉกเช่นสหรัฐฯได้อย่างถนัดถนี่

พวกผู้ทรงอิทธิพลในหน่วยงานรัฐการและฝ่ายทหารของสหรัฐฯ จะไม่มีการหยุดยั้งใดๆ เลย เพื่อพิทักษ์ปกป้องเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการนี้ –ถึงแม้เรื่องเล่าดังกล่าวเต็มไปด้วยรูโหว่ยิ่งกว่าด้านมืดของดวงจันทร์เสียอีก

นี่คือภาวะงูกินหางวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด (Ouroboros) ในทางภูมิรัฐศาสตร์สำหรับยุคสมัยนี้ 9/11 เคยมีฐานะเป็นมายาภาพขั้นรากฐานสำหรับคริสต์ศตวรรษที่ 21 --ทว่ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นอีกต่อไปแล้ว มันต้องถูกแทนที่เนื่องจากเจอกับแรงสะท้อนถอยหลัง นั่นคือ การเพลี่ยงพล้ำอย่างฉับพลันของจักรวรรดิ ได้เปิดทางให้ รัฐเอมิเรตอิสลามแห่งอัฟกานิสถาน หวนกลับคืนสู่ฐานะเดิมของมันเมื่อ 20 ปีก่อนพอดิบพอดี

เราในเวลานี้อาจทราบกันแล้วว่า ตอลิบานไม่ได้ทำอะไรเลยใน 9/11 เราในเวลานี้อาจทราบกันแล้วว่า อุซามะห์ บิน ลาดิน ที่อยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งในอัฟกาสถาน น่าจะไม่ได้เป็นจอมบงการก่อเหตุ 9/11 ขึ้นมา เราในเวลานี้อาจทราบกันแล้วว่า การลอบสังหาร มัสซูด คือบทเกริ่นนำก่อนจะเกิด 9/11 ในลักษณะหักมุม กล่าวคือ เพื่อเป็นการแผ้วถางทางอำนวยความสะดวกให้แก่การรุกรานอัฟกานิสถาน ตามที่ได้มีการวางแผนเตรียมการกันเอาไว้แล้ว

กระนั้น ก็คล้ายๆ กับการลอบสังหาร จอห์น เอฟ เคนเนดี นั่นแหละ เราจะไม่มีทางรู้เลยถึงรูปร่างลักษณะอย่างสมบูรณ์ของปริศนาทั้งหมดที่ซ้อนอยู่ข้างในอีกชั้นหนึ่งของเรื่องลี้ลับซ่อนเงื่อน

ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 ขณะเครื่องบินโดยสารที่ถูกจี้ พุ่งเข้าชนอาคารแฝดของ เวิลด์เทรดเซนเตอร์ ในนครนิวยอร์ก
กำลังโหลดความคิดเห็น