ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (9 ก.ย.) แถลงขยายโครงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั่วประเทศครั้งใหญ่ ออกข้อบังคับใหม่อันเข้มงวดด้านการฉีดวัคซีน ซึ่งจะมีผลกับแรงงานหลายสิบล้านชีวิต ในขณะที่ผู้นำรายนี้ใช้สุ้มเสียงที่แข็งกร้าวยิ่งขึ้นกับบรรดาอเมริกันชนที่ยังคงปฏิเสธฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตาม มันเผชิญเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทันที ด้วยรีพับลิกันโวยวายว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้ดูไม่ต่างจากเผด็จการ
ในแผน 6 ประการ ที่เล็งเป้าหมายบังคับใช้กับภาคธุรกิจที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน ถือเป็นมาตรการเชิงรุกที่สุดที่นำมาใช้ในสหรัฐฯ จนถึงตอนนี้ ในความพยายามต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อได้ง่ายมาก
"คนที่ยังไม่ฉีดวัคซีนล้นโรงพยาบาลของเรา กำลังล้นห้องฉุกเฉินและแผนกไอซียู กำลังไม่เหลือที่ว่างสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ตับอักเสบ หรือมะเร็ง" ประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์จากทำเนียบขาว
ในมาตรการที่ครอบคลุมที่สุดจนถึงปัจจุบัน เกี่ยวข้องกับการบังคับริษัทเอกชนทั้งหลายที่มีพนักงานมากกว่า 100 คน รับประกันว่าพนักงานทั้งหมดต้องฉีดวัคซีนหรือไม่ก็เข้ารับการตรวจเชื้อในทุกสัปดาห์ ซึ่งคาดหมายว่ามาตรการนี้ของรัฐบาลกลางน่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนราวๆ 80 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรีพับลิกันประณามความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในทันที ระบุว่า มันเป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขต "ฟังดูเหมือนเผด็จการเลย" สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรีพับลิกันทวีตลงบัญชีอย่างเป็นทางการ
นอกจากนี้แล้ว ในแผนดังกล่าวยังบังคับฉีดวัคซีนลูกจ้างรัฐบาลทุกคน เช่นเดียวกับพนักงานสัญญาจ้าง
ปัจจุบัน ลูกจ้างรัฐบาลกลางมี 2 ทางเลือกคือต้องฉีดวัคซีน หรือยื่นผลตรวจเชื้อเป็นประจำ แต่ภายใต้กฎระเบียบใหม่เท่ากับว่าพวกเขามีทางเลือกเพียงอย่างเดียวคือ ฉีดวัคซีน
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขราว 17 ล้านคนตามสถานพยาบาลต่างๆ ที่ได้รับเงินอุดหนุนจากโครงการเมดิแคร์ของรัฐบาลจะถูกบังคับฉีดวัคซีนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จะมีข้อยกเว้นสำหรับเหตุผลทางศาสนาหรือผู้พิการ แนวทางอันเข้มงวดที่แน่นอนว่าจะผลักไบเดนเข้าสู่เส้นทางแห่งการเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนฝ่ายขวาและกลุ่มทรงอิทธิพลอื่นๆ ที่อ้างว่าการบังคับฉีดวัคซีนเทียบเท่ากับเป็นการโจมตีเสรีภาพส่วนบุคคล
ชาวอเมริกันราว 80 ล้านคนยังคงไม่เข้ารับการฉีดวัคซีน ในขณะที่ผลการวิจัยต่างๆ พบว่าคนเหล่านี้มีแนวโน้มเป็นคนหนุ่มสาว มีการศึกษาน้อยและส่วนใหญ่จะเป็นรีพับลิกัน
คนผิวขาวมีสัดส่วนมากที่สุดของกลุ่มคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน แต่คนผิวสีและคนเชื้อสายสเปนมีอัตราเข้ารับวัคซีนน้อยกว่าคนผิวขาว จากข้อมูลของ Kaiser Family Foundation
ความสำเร็จในเบื้องต้นของรัฐบาลในโครงการฉีดวัคซีนและสนับสนุนการสวมหน้ากาก มอบแรงเสริมสำคัญแก่ไบเดนหลังจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนมกราคม
หลังจากก้าวขึ้นมาเป็นหมายเลข 1 ของโลกทั้งในแง่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตภายใต้อดีตรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่จากนั้นสหรัฐฯ ได้กลายมาเป็นต้นแบบสำหรับแนวทางเอาชนะโรคระบาดใหญ่
ในวันที่ 4 กรกฎาคม ไบเดนถึงขั้นจัดงานเลี้ยงบาร์บีคิวที่ทำเนียบขาว เพื่อฉลองวันชาติสหรัฐฯ และเสรีภาพจากการล็อกดาวน์ ทว่าการปรากฏตัวของตัวกลายพันธุ์เดลตาที่ยากจะหยุดยั้งในช่วงฤดูร้อน ได้ทำให้ห้องไอซียูของโรงพยาบาลต่างๆ อัดแน่นไปด้วยคนไข้อีกครั้ง และจากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกินส์ ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตราวๆ 1,500 คนในแต่ละวัน
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ กระจายวัคซีนฟรีทั่วประเทศและกลายเป็นชาติผู้บริจาควัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งมีเป้าหมายมอบแก่บรรดาชาติยากจนทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละรัฐ โดยเฉพาะในเทกซัสและฟลอริดา ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารงานของรีพับลิกัน ขัดขืนอย่างกระตือรือร้น ไม่ยอมออกข้อกำหนดบังคับฉีดวัคซีน ในขณะที่พลเมืองทั้งใน 2 รัฐ จำนวนมากยังคงปฏิเสธเข้ารับวัคซีน แม้ว่าผู้ติดเชื้อรอบๆ ตัวพวกเขาจะเพิ่มขึ้นไม่หยุด
ไบเดนและพวกผู้สนับสนุน โยนบาปแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ระลอกปัจจุบันไปยังกลุ่มบุคคลที่ยังไม่ฉีดวัคซีน
แต่กระนั้นผลโพลล่าสุดที่จัดทำโดยวอชิงตันโพสต์และเอบีซีนิวส์ พบว่า มีประชาชนวัยผู้ใหญ่เห็นชอบกับแนวทางรับมือโรคระบาดใหญ่ของไบเดน 52% ลดลงจากระดับ 62% ในเดือนมิถุนายน
ขณะเดียวกัน คะแนนนิยมโดยรวมของไบเดน ก็ลดลงต่ำกว่า 50% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เก้าอี้ประธานาธิบดี โดยผลสำรวจของวอชิงตันโพสต์และเอบีซีนิวส์ พบว่ามีประชาชนพอใจผลงานของเขาเพียง 44% ลดลงจากระดับ 50% ในเดือนมิถุนายน
(ที่มา : เอเอฟพี)