สหรัฐฯ ทิ้งวัคซีนโควิด-19 ไปแล้วอย่างน้อย 15.1 ล้านโดส นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เอเอฟพีอ้างอิงรายงานของสำนักข่าวเอ็นบีซีนิวส์ ข่าวคราวซึ่งเกิดขึ้นในขณะที่บรรดาประเทศยากจนกำลังดิ้นรนให้ได้มาซึ่งวัคซีนฉีดให้ประชาชน
ตัวเลขดังกล่าวถือว่ามากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก แถมบางทีอาจต่ำกว่าความเป็นจริง สืบเนื่องจากมันมาจากข้อมูลที่รายงานเองของบรรดาร้านขายยา รัฐแต่ละรัฐและผู้ให้บริการอื่นๆ ตามรายงานของเอ็นบีซีนิวส์ อ้างอิงข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ ที่ตอบกลับคำขอบันทึกสาธารณะ
บันทึกสาธารณะคือเอกสาร หรือชิ้นส่วนของข้อมูลที่ไม่ถือเป็นความลับ ที่มีไว้สำหรับการตรวจสอบสาธารณะ บันทึกเหล่านี้มักจะถูกนำเสนอให้ประชาชนทั่วไปได้ตรวจสอบฟรี ณ สถานที่ที่จัดเก็บ ในกรณีอื่นๆ อาจมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
มีอย่างน้อย 7 รัฐที่ไม่ปรากฏในข้อมูลดังกล่าว เช่นเดียวกับหน่วยงานหลักๆ ของรัฐบาลกลางอีกหลายแห่ง
เหตุผลสำหรับทิ้งวัคซีนโควิด-19 นั้นมีมากมายแตกต่างกันไป ในนั้นรวมถึงขวดร้าว ความผิดพลาดในการเจือจางวัคซีน เหตุขัดข้องของตู้แช่ และกรณีเหลือวัคซีนในขวดหนึ่งๆ มากกว่าจำนวนผู้ฉีด ซึ่งวัคซีนแต่ละโดสต้องใช้ภายในเวลาไม่กี่ชั่งโมง หลังจากเจาะฝาแล้ว
ข่าวคราวนี้ถูกเผยแพร่ออกมา ในขณะที่บรรดาประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายกำลังดิ้นรนให้ได้มาซึ่งวัคซีนฉีดให้ประชาชน สืบเนื่องจากอุปทานที่มีจำกัด ในนั้นรวมถึงทวีปแอฟริกา ซึ่งเพิ่งฉีดวัคซีนประชาชนไปได้เพียงแค่ 2.8% ของจำนวนประชากรเท่านั้น
ผิดกับสหรัฐฯ ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งนี้จ่ายวัคซีนไปทั่วประเทศแล้วราว 438 ล้านโดสจนถึงวันอังคาร (31 ส.ค.) และฉีดวัคซีนแก่ประชาชนไปแล้ว คิดเป็น 52% ของจำนวนประชากร ตัวเลขที่น่าจะสูงกว่านี้ แต่มีคนอีกจำนวนมากที่ยังคงลังเลเข้ารับวัคซีน
ขณะเดียวกัน เวลานี้มีพลเมืองสหรัฐฯ มากกว่า 1 ล้านคนที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น บนพื้นฐานของคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และพวกเขามีแผนฉีดเข็ม 3 แก่ประชาชนทั่วไป 8 เดือนหลังจากฉีดเข็ม 2 โดยจะเริ่มในเดือนกันยายน
"มันเป็นประเด็นด้านความเท่าเทียม" ทิม โดแรน ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยยอร์ค ให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซี "คุณมีชาติร่ำรวยมากๆ ประเทศหนึ่งๆ ที่เข้าถึงวัคซีนที่จำเป็นอย่างง่ายดาย แล้วทิ้งวัคซีนไปโดยเสียเปล่า"
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ให้คำมั่นมอบวัคซีนราวๆ 600 ล้านโดสแก่บรรดาประเทศต่างๆ ที่มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย และจนถึงช่วงต้นเดือนสิงหาคม ได้ทำการบริจาคไปแล้ว 110 ล้านโดส
(ที่มา : เอเอฟพี/เอ็นบีซีนิส์)