เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน เปิดเผยรายงานการสืบหาต้นตอไวรัสโควิด-19 เมื่อวันจันทร์ (2 ส.ค.) โดยชี้ไปที่หลักฐานซึ่งพิสูจน์ว่าเป็นการหลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจจากสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 12 ก.ย. ปี 2019 ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ฐานข้อมูลไวรัสถูกดึงออกจากระบบอย่างกะทันหันในช่วงกลางดึกของวันนั้น
หนังสือพิมพ์วอชิงตันเอ็กแซมมิเนอร์รายงานวันนี้ (2 ส.ค.) ว่า คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน ซึ่งกำลังสืบสวนหาต้นตอไวรัสโควิด-19 ได้สรุปลงในรายงานของพวกเขาว่า มีหลักฐานจำนวนมากชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า ไวรัส SARS-CoV-2 หรือไวรัสโควิด-19 นั้น บังเอิญหลุดออกมาจากห้องแล็บของสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเมื่อวันที่ 12 ก.ย.2019 และไวรัสโควิด-19 เป็นการตัดต่อทางพันธุกรรม ซึ่งคาดว่าไวรัสตัวตั้งต้นถูกเก็บมาจากถ้ำในมณฑลยูนนานของจีนระหว่างปี 2012-2015
รายงานระบุว่า มีนักวิจัยในแล็บอู่ฮั่น เจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน และชาวอเมริกัน เกี่ยวข้องโดยตรงกับความพยายามขัดขวางหรือปิดบังข้อมูลที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของไวรัส รวมไปถึงการปิดกั้นฐานข้อมูลที่เป็นหลักฐานว่าอาจจะมีไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บ
ไมเคิล แม็คคอล (Michael McCaul) ส.ส.รัฐเทกซัส พรรครีพับลิกัน ผู้นำทีมสอบสวน ระบุว่า ปักกิ่งพยายามปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับแล็บอู่ฮั่น
ในรายงานชี้ให้เห็นว่า คณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ สภาล่างสหรัฐฯ ให้ความความสนใจเป็นพิเศษกับสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่น หลักฐานชี้ว่าสถาบันวิจัยไวรัสอู่ฮั่นเป็นแหล่งที่มาของการระบาด และยังแสดงให้เห็นถึงขั้นตอนมากมายที่นักวิจัยประจำสถาบันวิจัยอู่ฮั่น และปีเตอร์ ดาสซาค (Peter Daszak) จากอีโคเฮลท์ อัลไลแอนซ์ (EcoHealth Alliance) พยายามปกปิด
รายงานยังระบุว่า ผลการวิจัยที่เขียนขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์ของสถาบันอู่ฮั่น ไม่เพียงแค่พิสูจน์ว่า สถาบันวิจัยแห่งนี้กำลังวิจัยการจัดเรียงลำดับพันธุกรรมไวรัสโคโรนาที่เป็นอันตรายและไม่มีความปลอดภัยในระดับชีววิทยา แต่ยังพิสูจน์ด้วยว่า นักวิจัยจีนมีความสามารถในการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสโคโรนามาตั้งแต่ปี 2016 โดยไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานการตัดแต่งพันธุกรรมไว้
แม็คคอลกล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่จะลบความเชื่อที่ว่า ตลาดสดอู่ฮั่นเป็นต้นตอการระบาดของโควิด-19
รายงานชี้ว่า มีการกำจัดไวรัสและฐานข้อมูลไวรัสที่สถาบันอู่ฮั่นในเดือนกันยายนปี 2019 รวมไปถึงความกังวลของนักวิทยาศาสตร์เรื่องความปลอดภัย ซึ่งชี้ไปในทางที่สรุปได้ว่า "ไวรัสหลุดออกมาจากห้องแล็บ"
แม็คคอลกล่าวอีกว่า สหรัฐฯ รู้ว่ามีการวิจัยการตัดแต่งพันธุกรรมไวรัสเกิดขึ้นในแล็บอู่ฮั่น ซึ่งดำเนินการภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และสหรัฐฯ รู้ว่าผู้นำองค์การอาหารและยาจีน (CDC) และผอ.ฝ่ายความปลอดภัยทางชีววิทยาระดับ 4 ของแล็บอู่ฮั่น เคยออกมาแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะเกี่ยวกับความปลอดภัยของแล็บฯ เมื่อหน้าร้อนปี 2019
เราคิดว่าไวรัสน่าจะเล็ดลอดออกมาจากห้องแล็บเมื่อราวปลายสิงหาคมหรือไม่ก็ต้นกันยายนปี 2019
เมื่อคณะผู้บริหารพรรคคอมมิวนิสต์จีนและนักวิทยาศาสตร์แล็บอู่ฮั่น รู้ถึงการเล็ดลอดของไวรัส พวกเขาพยายามอย่างที่สุดเพื่อปกปิดความผิดพลาดดังกล่าว รวมไปถึงการนำฐานข้อมูลไวรัสออกจากระบบอย่างกะทันหันในช่วงกลางดึก พร้อมขอเงินสนับสนุนด้านความปลอดภัยเพิ่มเป็นจำนวนกว่า 1 ล้านดอลลาร์
แต่ความพยายามของพวกเขาช้าเกินไป เพราะไวรัสได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองอู่ฮั่นแล้ว อ้างอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมในช่วง 1 เดือน แสดงให้เห็นถึงจำนวนประชาชนที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลต่างๆ รอบสถาบันวิจัยอู่ฮั่น ซึ่งผู้ป่วยมีอาการคล้ายกับโรคโควิด-19 และเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นักกีฬาซึ่งไปแข่งในรายการ Military World Games เริ่มแสดงอาการป่วยที่คล้ายกับโรคโควิด-19 และมีบางส่วนได้นำเชื้อไวรัสกลับไปประเทศของตัวเอง สร้างเหตุการณ์ซูเปอร์สเปรดขึ้นในโลก
ในรายงานระบุว่า ฐานข้อมูลไวรัสของสถาบันอู่ฮั่น ที่มีข้อมูลมากกว่า 22,000 รายการ ประกอบไปด้วยตัวอย่างและฐานข้อมูลเชื้อโรคที่ถูกเก็บรวบรวมได้จากค้างคาวและหนู ได้ถูกปิดลงเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2019 อย่างไรก็ตามไม่มีคำอธิบายว่า ทำไมจึงมีการนำฐานข้อมูลดังกล่าวกลับมาออนไลน์อีกครั้ง
รอยเตอร์รายงานว่า ฝ่ายข่าวกรองสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับข้อสรุปในรายงานของคณะกรรมาธิการกิจการต่างประเทศ พรรครีพับลิกัน
องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ข้อมูลที่ไม่เพียงพอทำให้ทฤษฎีต้นกำเนิดไวรัสมาจากแล็บอู่ฮั่นต้องตกไป และรัฐบาลปักกิ่งไม่อนุญาตให้มีการสอบสวนสถาบันวิจัยของพวกเขาเป็นครั้งที่ 2