หมอใหญ่สหรัฐฯ ยัน 'วัคซีนโควิด' ได้ผลแม้เคสฉีดแล้วติดเชื้อเพียบ เชื่อมะกันไม่ต้องล็อกดาวน์รอบใหม่

แอนโทนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อระดับสูงของสหรัฐฯ ระบุแม้มีรายงานการแพร่ระบาดเร็วๆ นี้ในบรรดาคนฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่วัคซีนโควิด-19 ยังทำงานได้ผลเป็นอย่างดี พร้อมเร่งประชาชนให้เข้าฉีดวัคซีนกันมากขึ้น เพื่ออเมริกาจะไม่ต้องเข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์อีกรอบ

"การติดเชื้อของคุณดูเหมือนจะไม่ก่อผลลัพธ์รุนแรงใดๆ เลย" เฟาซี ให้สัมภาษณ์กับรายการ “Face the Nation.” ของสำนักข่าวซีบีเอส “มันเป็นไปได้สูงมากที่คุณจะไม่มีอาการหรือมีอาการแค่เล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นวัคซีนกำลังทำในสิ่งที่คุณต้องการให้มันทำ มันปกป้องผู้คนจากการล้มป่วย”

ความเห็นของเฟาซี มีขึ้นตามหลังความไม่แน่นอน ความเป็นกังวลและคำกล่าวอ้างว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังเดินไปผิดทาง ในการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว โดยมีตัวกลายพันธุ์เดลตาเป็นตัวการสำคัญ

จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากช่วงเวลาแค่ 1 เดือนก่อน ด้วยรัฐต่างๆ อย่างเช่น ฟลอริดา รายงานพบผู้ติดเชื้อรายวันสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการระบาด ขณะเดียวกัน จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ แต่ยังไม่สูงเท่าช่วงพีกสุดก่อนหน้านี้

เมื่อวันอังคารที่แล้ว (27 ก.ค.) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติสหรัฐฯ (ซีดีซี) ปรับจุดยืน เปลี่ยนคำแนะนำให้บุคคลที่ฉีดวัคซีนครบแล้วควรสวมหน้ากากยามที่เข้าไปยังพื้นที่ที่มีเคสผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม ซีดีซีเริ่มคืนวิถีชีวิตปกติแก่ประชาชน ด้วยการผ่อนปรนคำแนะนำด้านการสวมหน้ากาก สำหรับคนฉีดวัคซีนครบแล้ว

จุดเปลี่ยนนี้ไม่ได้มีต้นตอจากแค่ความชุกที่เพิ่มขึ้นของเคสผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาในบรรดาคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเท่านั้น แต่ข้อมูลที่เปิดเผยโดยซีดีซียังก่อความสงสัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพความปลอดภัยของตัววัคซีนเอง แม้วัคซีนมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโควิด-19 แต่ซีดีซีพบว่า มีเคสฉีดวัคซีนครบแล้วแต่ยังติดเชื้อ (breakthrough cases) จำนวนมาก ในนั้นติดเชื้ออาการหนัก และเสียชีวิตแล้วกว่า 6,500 รายทั่วสหรัฐฯ

การแพร่ระบาดในแถบเคปค้อด รัฐแมสซาชูเซตส์ ในเดือนกรกฎาคม พบว่าเกือบ 3 ใน 4 ของเคสผู้ติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์เดลตา เป็นคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตและมีเพียง 7 รายที่อาการหนักถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล

ทั้งนี้ การแพร่ระบาดดังกล่าวยังบ่งชี้ว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วมีประมาณไวรัสในร่างกายพอๆกับคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน นั่นหมายความว่าพวกมันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าที่คาดคิดไว้ก่อนหน้านี้หลายเท่า

เฟาซี บอกว่า ปัจจัยดังกล่าวคือพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ทางซีดีซีกลับมาออกคำแนะนำสวมหน้ากาก "เมื่อคุณอยู่ในสถานที่สาธารณะในร่ม กรุณาสวมหน้ากาก" เขากล่าว พร้อมระบุว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดึงให้คนฉีดวัคซีนกันมากขึ้น เพื่อหยุดการแพร่ระบาดของไวรัส ในขณะที่คนเหล่านั้นมีความเข้าในผิดๆ เกี่ยวกับวัคซีน

"คุณคงเข้าใจนะว่า ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขามีสิทธิส่วนบุคคลในการตัดสินใจต่างๆ ด้วยตนเอง และผมเคารพในเรื่องนี้" เขากล่าว "แต่ประเด็นคือ ถ้าคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่ที่แพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ มันไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อคุณเท่านั้น คุณต้องคิดในเรื่องนี้ด้วย คุณเป็นส่วนหนึ่งของสังคม คุณจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบ"

นอกจากนี้ เฟาซี ยังเชื่อว่าสหรัฐฯ จะไม่เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 อีกครั้ง แม้ยอมรับสิ่งต่างๆ กำลังเลวร้ายลง ตัวกลายพันธุ์เดลตาโหมกระพือเคสผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่ยังไม่ฉีดวัคซีน

เฟาซี ระบุว่า จำนวนผู้เข้าฉีดวัคซีนในสหรัฐฯในเวลานี้ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ถือว่ามากพอที่จะหลีกเลี่ยงมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ "แม้มันยังไม่มากพอที่จะขยี้การแพร่ระบาด แต่ผมเชื่อว่ามันมากพอที่จะไม่นำพาเราเข้าสู่สถานการณ์แบบเดียวที่เราเผชิญเมื่อช่วงฤดูหนาวปีที่แล้ว"

จากการวิเคราะห์ข้อมูลของรอยเตอร์พบว่า ค่าเฉลี่ยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วประเทศเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในช่วง 10 วันที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลของทางซีดีซีพบว่าสหรัฐฯ มีผูู้ติดเชื้อใหม่รายวันถึง 101,171 รายในวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม ค่าเฉลี่ย 7 วันอยู่ที่ 72,493 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตพบ 451 ราย ค่าเฉลี่ย 7 วันอยู่ที่ 308 คน

แม้รัฐต่างๆ เลือกหนทางไม่ล็อกดาวน์อีกรอบ แต่การแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์เดลตา อาจยังคงคุกคามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป

นีล คาชคารี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขามินนีอาโปลิส ให้สัมภาษณ์กับซีบีเอส ว่าตัวกลายพันธุ์เดลตาอาจทำให้ชาวอเมริกันหลายล้านคนยังต้องตกงาน และเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการฟื้นตัวของภาคแรงงานสหรัฐฯ

(ที่มา : บลูมเบิร์ก/รอยเตอร์)